ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 130 : วิญญาณปีศาจพยัคฆ์ขาว

ราชาเหนือราชัน ตอนที่ 130 : วิญญาณปีศาจพยัคฆ์ขาว

ภายในถ้ํา

สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยออร่าทองคําอันร้ายกาจหมุนเวียนไม่หยุดหย่อนสายธารออร่าสามารถตัดทะลุการป้องกันของผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชาได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในถ้ําได้

ข้างใต้ออร่าทองคํานั้นว่างเปล่า ทําให้รู้สึกราวกับมีใครบางคนสร้างพื้นที่นี้ไว้โดยใช้ออร่าทองคําเป็นขอบกั้นโดยธรรมชาติภายในพื้นที่นั่นมีโครงกระดูกขนาดใหญ่อยู่ที่พื้นโครงกระดูกซึ่งยาวไม่กี่เมตรแต่กลับสูงกว่าสิบเมตร มันมีรูปร่างคล้ายพยัคฆ์ เห็นได้ชัดว่านี่คือซากศพของปีศาจพยัคฆ์ที่ตายไม่มีผู้ใดทราบว่านานเพียงใด

 

บนหน้าผากของโครงกระดูกมีลูกปัดขนาดใหญ่เท่ากับศีรษะมนุษย์ที่โตเต็มวัยถึงสองหัวมันเปล่งแสงสีทองออกนี่คือแก่นอสูรที่มีขนาดใหญ่มาก

 

ปกติแล้ว แก่นราชาปีศาจจะมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของกําปั้นแต่กับแก่นปีศาจชิ้นนี้มันมีขนาดใหญ่กว่าสิบเท่าจากปกติซึ่งบ่งบอกได้ว่าพยัคฆ์ปิศาจตัวนี้น่ากลัวเพียงใด เมื่อครั้งยังมีชีวิต

 

ทันใดนั้น โครงกระดูกดูเหมือนจะมีชีวิตภาพของพยัคฆ์กําลังลอยอยู่เหนือโครงกระดูกราวกับเป็นวิญญาณที่ตายไปแล้วภาพปรากฏจากภายในแก่นปีศาจหรือมันคือ วิญญาณของแก่นปีศาจมนุษย์มีแก่นมนุษย์ ในขณะที่สัตว์ปีศาจเองก็มีแก่นปีศาจ และแก่นปีศาจคือสิ่งที่วิญญาณปีศาจสถิตอยู่

ภายใน

วิญญาณปรากฏขึ้นในรูปลักษณ์ของพยัคฆ์สีขาวขนาดใหญ่ บนหน้าผากมีอักขระ (E) ซึ่งหมายถึง “ราชา” สลักอยู่ อักขระ นั่นส่องประกายเจิดจรัสดวงตาของพยัคฆ์สามารถมองทะลุผ่านวิญ ญาณได้ และยังมีเขี้ยวอันน่าพรั่นพรึงนี้จะต้องเป็นพยัคฆ์ขาวตัวจริ ง นอกเหนือจากอักขระบนหน้าผากแล้วร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวหิมะอันบริสุทธิ์

 

ทันใดนั้น เสี่ยวไปคํารามสู้กับวิญญาณพยัคฆ์ขาว เลือดของเขาเดือดพล่านในขณะคํารามอย่างสุดกําลังพยายามยับยั้งความหวาดกลัวต่อสัญชาตญาณที่เขารู้สึกช่างโชคร้าย เขาไม่ได้เป็นสายเลื อดบริสุทธิ์ เมื่ออยู่ตรงหน้าพยัคฆ์ขาวตัวจริงเสี่ยวไปนั่นตัวเล็กกว่า มาก ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวน้อย ไม่นานนักแรงกดดันจากวิญญาณพยัคฆ์ขาวทําให้เสี่ยวไปนอนแผ่กับพื้นดิน ทําให้ไม่สามารถขยับเขยี้อนได้

ต่อหน้าวิญญาณพยัคฆ์ เสียวไปก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารก หากถูกวิญญาณพยัคฆ์ขาวสัมผัสเขาอย่างบางเบา เขาก็จะตาย แต่โชคดีเสือขาวได้ตายไปนานหลายปีแล้ว เหตุผลเดียวที่วิญญาณปีศาจยัง คงอยู่ที่นี่เพราะพลังภายในแก่นอสูรยังไม่สลายไปจนหมด มันนอนรอผู้ที่สืบสายเลือดปรากฏตัวขึ้นเพื่อส่งต่อมรดกให้สืบไป

 

“สหายตัวน้อย ข้าคิดว่าเจ้ามีสายเลือดของข้าเพียงครึ่งเดียวแต่มีบางอย่างกําลังบอกข้าว่าสายเลือดของเจ้ากําลังจะหวนคืนสู่รากเหง้าอีกครั้งอย่างเชื่องช้าก็ได้ข้าจะมอบทุกสิ่งให้เจ้า ข้าทําได้เพียงหวังว่าเจ้าจะไม่ทําให้สายเลือดพยัคฆ์ขาวของเราต้องด่างพร้อยพยัคฆ์ขาวเป็นราชาแห่งสัตว์ร้ายทั้งปวง และมีเพียงมังกรเป็นคู่อา ฆาตของเรา สัตว์อื่นไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย” วิญญาณพยัคฆ์ ขาวกล่าวขณะถอนหายใจ

 

หลังจากสิ้นคํา พลังที่เหลือของพยัคฆ์ขาวได้กลับคืนสู่แก่นปีศาจจากนั้นแก่นปีศาจก็เคลื่อนตัวเข้าหาเสี่ยวไป ตราบใดที่เสี่ยว ไปกลืนแก่นนี่เขาก็จะสามารถรับเอามรดกของพยัคฆ์ขาวไปได้

 

“คํานับท่านบรรพบุรุษ” เสี่ยวไปกล่าวขอบคุณอย่างเคารพก่อนจะกลืนแก่นอสูรเข้าไป ตอนนี้ แสงสีทองพุ่งออกจากแก่นปีศาจพุ่งไปหาเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกล

 

“ดูเหมือนโชคชะตาจะกําหนดให้เจ้า และมนุษย์ผู้นี้ได้อยู่ด้วยกันข้าจะให้ความช่วยเหลือเขาเช่นกัน มาดูกันว่าจะรอดจากความเดือดดาลของพยัคฆ์ขาวได้หรือไม่” วิญญาณพยัคฆ์ขาวกล่าว

หลังจากกลืนแก่นปีศาจเข้าไป พลังงานได้ห่อหุ้มทั้งร่างกายของเสี่ยวไปเอาไว้ ร่างกายของเขาเริ่มขยายใหญ่ ในขณะที่ออร่าทองคําได้ก่อตัวเป็นรังไหมสีทองรอบตัว รังไหมซึ่งถูกสร้างจากพลังอันบริสุทธิ์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้

ในทางกลับกัน เซี่ยงเส้าหยุนอยู่ในสภาพย่ําแย่ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่นเดียวกันนั้น สายธารพลังงานจากวิญญาณของพยัคฆ์ขาวได้เจาะทะลุเข้าไปในหน้าผากของเด็กหนุ่ม

“โฮก! โฮก!”

วิญญาณของพยัคฆ์ขาวได้คํารามขึ้น และปลุกจิตสํานึกของวิญญาณเซี่ยงเส้าหยุนให้ตื่นขึ้น

“กะ เกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่ใช่เสี่ยวไปนี่!” วิญญาณของเซี่ยงเส้าหยุนร้องออกเมื่อเห็นวิญญาณของพยัคฆ์ขาว

 

“ข้าคือพยัคฆ์ขาว เป็นราชาของสัตว์ทั้งปวง! เจ้ามนุษย์ชั้นต่ําคํานับต่อหน้าข้าเสีย!” วิญญาณพยัคฆ์ขาวออกคําสั่ง

“นะ นี่ท่านเป็นพยัคฆ์ขาวจริงรึ? เผ่าพันธุ์ที่ครองอันดับสองของการจัดอันดับสัตว์ร้าย?” เซี่ยงเส้าหยุนถามด้วยความตื่นตระหนกเขามั่นใจว่าพยัคฆ์ขาวตรงหน้าคือของจริง หลังจากนั้น เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของพยัคฆ์ขาวตัวนี้เหนือกว่าเสียวไปมาก

 

“ถูกต้อง…เดี๋ยว อะไรนะ? เจ้ากล่าวว่าผู้ใดเป็นอันดับสองนะ?เหล่าพยัคฆ์ขาวเป็นถึงราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง!” วิญญาณพยัคฆ์ตอบกลับอย่างไม่พอใจ

“แต่ข้าคิดว่ามังกรคืออันดับแรก ท่านอย่าได้มาหลอกลวงข้าเลย! ข้าอ่านคนออก!” เซี่ยงเส้าหยุนเถียงกลับ

 

“ไร้สาระ! เหล่าพยัคฆ์ขาวเป็นถึงจ้าวแห่งสรวงสวรรค์ เราสามารถสังหารมังกร กลืนกินนกสีชาติ และเหยียบย่ําเต่าทมิฬให้กลายเป็นเศษเนื้อได้!พวกคือสิ่งที่ภายใต้สวรรค์จะต้องหวาดกลัว!” วิญญาณพยัคฆ์ขาวคํารามอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“เสียงคํารามทําให้วิสัยทัศน์ของเซี่ยงเส้าหยุนต้องมืดบอดและเกิดเสียงดังก้องในหูของเด็กหนุ่ม ด้วยสัมผัสได้ว่าวิญญาณกําลังจะสลายด้วยพลังของคลื่นเสียงนั่น

 

“เจ้าเด็กมนุษย์! จงรับโทสะของพยัคฆ์ขาวไปเสีย! พยัคฆ์ขาวเดือดดาล!” วิญญาณของพยัคฆ์ขาวหยุดกล่าว และเริ่มเปล่งออร่าสีทองอันไร้ขอบเขตพุ่งออกจากเซี่ยงเส้าหยุน

ความเดือดดาลของพยัคฆ์ขาวเป็นผลจากการผสมผสานระหว่างพลังงานทองคําอันร้ายกาจ และการเผยตัวของพยัคฆ์เมื่องสองผสานกันและแปรสภาพเป็นพายุพัดไปยังเซี่ยงเส้าหยุน แม้ แต่ความโกรธของพยัคฆ์ขาวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะผ่า วิญญาณของเซี่ยงเส้าหยุนให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งจะส่งผลให้เด็กหนุ่มเสียชีวิต

ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ มังกร และพยัคฆ์ได้พุ่งออกจากกระบี่ราชันผ่าเมฆาในทะเลจักรวาลดวงดาว และเริ่มคุ้มกันวิญญาณของเซี่ยงเส้าหยุนกระบี่ราชันผ่าเมฆาเป็นถึงอาวุธวิญญาณ นั่นคือเหตุผลที่มันสามารถปกป้องผู้เป็นนายโดยอัตโนมัติ

 

น่าเสียดาย พวกมันได้รับความเสียหายมากเกินไป มิเช่นนั้นการเผยตัวของมังกรและพยัคฆ์จะไม่อ่อนแอถึงเพียงนี้ ถึงกระนั้นมันก็สามารถผ่อนปรนความเจ็บปวดของเซี่ยงเส้าหยุนได้ เมื่อใช้เวลาคิด ขารู้ได้โดยพลันว่าตอนนี้อยู่ในช่องว่างภายในหัว ที่นี่คือสนามหญ้าสําหรับเขา เปรียบได้กับบ้าน และหากวิญญาณถูกทําลายก็ จะมีเพียงความตายที่รออยู่

“ข้าต้องโต้กลับ!” เซี่ยงเส้าหยุนกัดฟันแน่น ด้วยไม่ต้องการที่จะ ตายจะต้องคิดหาวิธีจัดการกับวิญญาณพยัคฆ์ขาวตัวนี้เสียก่อนหากต้องการมีชีวิตรอด

“โฮก! โฮก!”

ในที่สุด ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ถูกความโกรธเกรี้ยวของพยัคฆ์ฉีกออกจากกันทําให้กระบี่ราชันผ่าเมฆาต้องมัวหมองลงไปบางส่วนพวกมันทําได้ดีที่สุดแล้ว

 

“เมื่อไร้ซึ่งผู้พิทักษ์ เจ้าจะทําเช่นไร? เจ้ามนุษย์ชั้นต่ําตายเสีย!” วิญญาณพยัคฆ์ขาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเย็นชาก่อนที่จะปล่อยความเดือดดาลอีกครั้ง

 

“ท่านจะสังหารข้าหรือ? ฝันไปเถอะ! พรสวรรค์สัญชาตญาณ! พรสวรรค์จินตภาพ!เปิดใช้งาน!” เซี่ยงเส้าหยุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปลดปล่อยทุกสิ่งที่มี

 

ทันใดนั้น ภายในหัวก็กลายเป็นสีดําสนิทความมืดเข้าปกคลุมทุกสิ่งรวมถึงวิญญาณของพยัคฆ์ขาวให้ดิ้นรนและส่งเสียงคํารามความมืดมิดได้ผลักมันกลับ

 

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset