ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 15 : ข้าเจ็บเหลือเกิน!

หอคอยแห่งขีดจำกัดห้องที่หนึ่ง

ภายในเซี่ยงเส้าหยุนเริ่มวิ่งไปมาในแรงโน้มถ่วงหนักห้าร้อยกิโลกรัมนั้น นี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายในการวิ่งอย่างที่ตนหวังแม้ว่าจะปรับตัวกับแรงโน้มถ่วงภายในห้องได้บ้างแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเหมือนกับปลาที่ว่ายในน้ำ ในทางตรงกันข้ามทุกก้าวนั้นเขาจะต้องใช้ความแข็งแกร่งเพื่อต่อต้านแรงดึงดูดภายในห้อง ในแต่ละก้าวจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก

หนึ่งก้าวภายใต้แรงกดดันถึงห้าร้อยกิโลกรัม ในแง่ของฝึกยุทธ์นั้นปกติจะต้องเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของระดับพื้นฐานขั้นเก้าจึงจะบรรลุความสำเร็จนี้ได้ อย่างไรก็ตามวันนี้เซี่ยงเส้าหยุนได้ทำสำเร็จ นี่เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งของผู้ที่อยู่ระดับพื้นฐานขั้นหก!

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนได้เรียกใช้ตำราราชันพิชิตสวรรค์ พลังงานภายในก็เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณและจุดฝังเข็ม พลังงานจากทั้งเก้าดวงดาวกำลังดูดซับและปล่อยออกมาราวกับเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น ทำให้มั่นใจว่าตนจะมีพลังงานเพียงพอเสมอ

เขาเคยได้ใช้ยาระดับสูงตั้งแต่ยังเยาว์ ร่างกายของเซี่ยงเส้าหยุนนั้นมีพลังงานมหาศาลแฝงอยู่ภายใน เมื่อวานหลังจากที่ทนอยู่ในแรงโน้มถ่วงถึงห้าร้อยกิโลกรัมนั้นร่างกายก็ได้หยุดปลดปล่อยพลัง ในตอนนี้ถ้าหากต้องวิ่งภายใต้แรงกดดัน พลังงานเริ่มหลั่งไหลออกมาจากร่างกายราวกับน้ำที่ถูกบิดออกจากผ้าที่เปียก

แม้ว่าพลังงานอาจดูไม่มากนัก แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานนั้นเพียงพอที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง อีกครั้งที่เซี่ยงเส้าหยุนกำลังจะทะลุไปถึงระดับพื้นฐานขั้นที่เจ็ด แต่ตัวเขากลับระงับพลังงานที่รุนแรงเหล่านี้ นอกจากนี้พลังงานไม่ได้ไหลเข้าสู่ผังจักรราศีแต่ถูกบังคับให้เข้าสู่จุดฝังเข็มทั้งสามร้อยหกสิบห้าจุดแทน

เซี่ยงเส้าหยุนทำเพียงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจุดฝังเข็ม เมื่อเวลาใกล้เข้ามาผังจักรราศีและจุดฝังเข็มจะเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำให้วิชาโบราณหมุนเวียนได้รวดเร็วและเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย

ขณะที่เขาฝึกปล่อยหมัดพลังปราณและลูกเตะวายุหมุน ก่อนอื่นจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายเสียก่อน เมื่อทำเช่นนั้นความแข็งแกร่งของจุดฝังเข็มเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เขาได้วิธีนี้มาจากตำราฝึกฝนยุทธ์โบราณ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เซี่ยงเส้าหยุนเคยชินกับแรงดึงดูดภายในห้องมากขึ้นและค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ

“หอคอยแห่งขีดจำกัดนั้นไม่เลวไปเสียทั้งหมด มันทำให้ความแข็งแกร่งของเราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว! แต่นี่ยังไม่พอ! ตามบันทึกของตำราโบราณนั้นตัวอย่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นแรกจะสามารถยกหินหนักถึงห้าร้อยกิโลกรัมอย่างง่ายดาย! ไม่มีผู้ใดเทียบได้กับตัวประหลาดที่น่ารังเกียจเช่นนี้! เราต้องไล่ตามให้ทันหากอยากจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว!”

หลังจากเรียงลำดับความคิด เซี่ยงเส้าหยุนฟื้นฟูจิตวิญญาณนักสู้ของเขาและเริ่มวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม บีบคั้นศักยภาพที่แฝงอยู่ภายในตัวขณะที่เขาฝึกอย่างหนักภายในหอคอยแห่งขีดจำกัด ที่ด้านนอกเหล่าศิษย์ชั้นนอกต่างมารวมตัวกันเพื่อมารอชมเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“นี่ก็ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วนะ เหตุใดเซี่ยงเส้าหยุนยังไม่ออกมาอีก?”

“ยังไม่ชัดเจนอีกรึ? รับชมว่าผู้ดูแลผ่อนคลายเพียงใด! เจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยเซี่ยงเส้าหยุนออกมาหรือไม่?

“เฮ้ เจ้าคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนตายอยู่ข้างในหรือไม่?”

“ก็เป็นได้ เมื่อเจ้าเข้าไปยังหอคอยแห่งขีดจำกัด ไม่ว่าจะอยู่หรือจะตายก็ยากจะกล่าว”

เวลาผ่านไปสองชั่วโมงในพริบตาเดียว เหล่าศิษย์ชั้นนอกที่รอคอยอยู่ด้านนอกในตอนแรกต่างเริ่มแยกย้ายกันไป เหลือเพียงส่วนน้อยที่ยังรอคอยบทสรุป หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมงยังไม่มีผู้ใดก้าวออกมา ไม่มีใครคาดคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ออกมาจากหอคอยแห่งขีดจำกัด

แปดชั่วโมงหลังจากที่เข้าไป เซี่ยงเส้าหยุนได้ก้าวออกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดในที่สุด

“เจ้าหนู เจ้าช่างน่าเหลือเชื่อ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะสามารถท้าทายห้องที่สองได้ในเร็ววัน!” ผู้ดูแลสูงวัยอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ

“แน่นอน นับแต่บัดนี้หอคอยแห่งขีดจำกัดจะเป็นที่ฝึกซ้อมของเซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายตลอดระยะเวลาแปดชั่วโมงในหอคอยแห่งขีดจำกัด

“เจ้าหนู อย่าประเมินตนเองสูงเกินไปนัก หอคอยแห่งขีดจำกัดไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย” ผู้ดูแลสูงวัยตอบ

“นั่นเป็นเพราะมันไม่ง่ายสำหรับคนทั่วไปอย่างไรเล่า แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะสร้างความท้าทายแก่คุณชายผู้นี้ได้” เซี่ยงเส้าหยุนตอบและยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้น “ท่านผู้ดูแลอาวุโส เอาแต้มมาให้ข้าเร็ว! ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีก!”

ผู้ดูแลอาวุโสหัวเราะก่อนจะชี้แจง “เหอะ เหอะ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้แต้มทุกรอบหรอก เจ้าจะได้แต้มทุกครั้งที่ผ่านบททดสอบแต่ละห้อง และเจ้าก็ได้ผ่านห้องแรกไปแล้วเมื่อวาน ดังนั้นข้าได้ให้คะแนนเป็นสองเท่าจากปกติไปแล้ว! หากเจ้าต้องการแต้มเพิ่ม เจ้าจะต้องผ่านการท้าทายของห้องที่สองเท่านั้น!”

“ชิ ขี้งกจริงเชียว รอก่อนเถอะ! คุณชายผู้นี้จะมาท้าทายห้องที่สองในอีกไม่กี่วัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับอย่างไม่พอใจนัก

หลังจากทำสำเร็จ เขาจึงวิ่งออกไปยังสวนด้านนอกอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า คงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดและแปดที่จะตามเขาทัน ความสามารถในการทนต่อแรงโน้มถ่วงหนักห้าร้อยกิโลกรัมนั้นแข็งแกร่งเช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า ในแง่ของความเร็วและความแข็งแกร่งทางกาย เซี่ยงเส้าหยุนจะสามารถแข่งขันกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นเก้าได้ด้วยซ้ำ

“อู่หมิงเหลียง นายน้อยผู้นี้กำลังไปหาเจ้านับจากนี้ไปอีกเจ็ดวัน เราได้เห็นดีกันในลานประลอง!”  เสี่ยงเส้าหยุนตะโกนออกมาสุดเสียงเมื่อไปถึงสวนชั้นนอก ในตอนแรกเขาคิดว่าจะโดนรุมล้อมเมื่อมีใครสังเกตเห็นและกล่าวว่าตนน่าทึ่งเพียงใด น่าเศร้าที่ในขณะนี้สวนชั้นนอกนั้นไร้ซึ่งผู้คน จะมีผู้ใดได้ยินเขากันเล่า?

เซี่ยงเส้าหยุนตีไปยังหน้าผากของตนเองก่อนจะคร่ำครวญ “บ้าเอ้ย นี่เป็นเวลาต่อสู้แย่งชิงอาหาร เจ้าพวกนั้นจะต้องไปยังโรงอาหารเป็นแน่!”

เขารีบไปยังโรงอาหารและเริ่มตะโกนอีกครั้ง “อู่หมิงเหลียง นายน้อยผู้นี้กำลังไปหาเจ้านับจากนี้ไปอีกเจ็ดวัน เราจะได้เห็นดีกันในลานประลอง!”

ณ เวลานี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจมองเขา ผู้คนกำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้แย่งชิงอาหาร การเติมเต็มกระเพาะนั้นสำคัญกว่าการกระทำที่ท้าทายสวรรค์ของเซี่ยงเส้าหยุน

ช่างเป็นฉากที่น่าเจ็บปวดของเซี่ยงเส้าหยุน ซึ่งคิดว่าตนจะสามารถเชิดหน้าชูตาได้! เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกผู้อื่นเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้

“ศิษย์น้อง นี่เจ้ารอดมาจากหอคอยแห่งขีดจำกัดนั่นเชียวหรือ?” ในชั่วขณะเขาจึงได้ยินเสียงที่ประหลาดใจของเซี่ยหลิวฮุย

เขาหันไปมองเจ้าคนไม่ซื่อสัตย์ เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับอย่างร่าเริง “แน่นอน คุณชายผู้นี้มีความสามารถในการต่อสู้ทุกรูปแบบ แค่เพียงหอคอยแห่งขีดจำกัดไม่อาจหยุดยั้งข้าได้หรอก!”

“ยอดเยี่ยม!” เซี่ยหลิวฮุยชื่นชมเซี่ยงเส้าหยุนอย่างมากก่อนจะพูดเบา ๆ กับเขา “ด้วยการสนับสนุนของท่านอาวุโสจื่อ ผู้ดูแลหอคอยแห่งขีดจำกัดจะสามารถสร้างปัญหาต่อเจ้าได้อย่างไรกัน? ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นนายของข้าก็ได้! ข้าเซี่ยหลิวฮุยจะรับใช้นายท่าน!”

ใบหน้าของเซี่ยงเส้าหยุนมืดลง เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์เพราะเลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของตน

“เหตุใดเจ้าตามหาเจ้านั่นล่ะ? เจ้าไม่คิดจริงจังที่จะท้าทายเขาใช่ไหม?” เซี่ยหลิวฮุยกระซิบเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ทั่วทุกสารทิศ

“แน่นอน ข้าเป็นคนจริงจัง! เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นงั้นหรือ?!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบในทันที

“อู่หมิงเหลียงเป็นถึงหนึ่งในสิบศิษย์นอกในแง่กำลังการต่อสู้! ตัวเขาคือระดับพื้นฐานขั้นที่เก้า ขณะนี้สมควรอยู่ช่วงกลาง และก็ใกล้จะเข้าถึงช่วงท้ายแล้ว! ถึงตอนนั้นเขาจะข้ามผ่านสู่ระดับดวงดาว! ได้ยินว่าผู้อาวุโสที่สิบสามหลี่เสวียเหมิงจดจำเขาเอาไว้! ทันทีเมื่อเข้าสู่ระดับดวงดาว เช่นนั้นเขาก็จะเป็นศิษย์ส่วนตัวโดยทันที!” เซี่ยหลิวฮุยกล่าวย้ำเตือน หลังเงียบไปครู่จึงกล่าวเสริม “เขายังเป็นบุตรลำดับที่เจ็ดของเจ้าเมืองอู่ด้วย”

“เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร? คุณชายผู้นี้เป็นถึงครึ่งอาวุโสเชียวนะ!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับโดยไม่ลังเล

“เอาล่ะ ข้าได้ยินมาว่าอู่หมิงเหลียงจะออกไปข้างนอกวันนี้”

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset