ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 25 : เขาเป็นเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์ของ

สองวันนับจากเอาชนะหอคอยแห่งขีดจำกัด บาดแผลบนร่างกายของเซี่ยงเส้าหยุนส่วนใหญ่หายดีแล้ว การเคลื่อนไหวแทบไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งหมดนี่เป็นผลมาจากร่างกายอันน่าทึ่งของเขาเอง

“ครั้งนี้ได้ผลลัพธ์เพียงน้อยนิด เราจะต้องฝึกฝนที่ห้องที่สองทุกครั้งหากมีเวลา” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบากับตนเอง

ความท้าทายที่จะต้องเผชิญแต่ละห้องนั้นล้วนต่างกันออกไป อย่างห้องที่หนึ่งนั้นจะมุ่งเน้นในการใช้พลังกายของผู้ท้าทาย บังคับให้ก้าวข้ามศักยภาพทางกายของผู้เข้าร่วมและทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ ที่ห้องสองเป็นห้องที่เต็มไปด้วยหิน ผู้ท้าทายจะต้องหลบเลี่ยงหินจำนวนมากที่จะบดขยี้และมีพื้นที่ให้หายใจในห้องเพียงน้อยนิด สภาพแวดล้อมเช่นนี้มุ่งเน้นในการฝึกฝนท่างทางและทักษะวิทยายุทธ์เป็นหลัก

การหลีกเลี่ยงก้อนหินเหล่านั้นจะต้องอาศัยความรู้สึกที่เฉียบคมกับการก้าวเท้าอันชาญฉลาด การทำลายก้อนหินจะต้องใช้ความแข็งแกร่งเพื่อระเบิดให้เป็นผุยผง ไม่ว่าจะเลือกวิธีใดในการเอาชนะ ห้องนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งทุกด้าน สำหรับผู้มีเป้าหมายเช่นเดียวกับเซี่ยงเส้าหยุนที่ต้องการจะให้วิทยายุทธ์เติบโตอย่างรวดเร็วและเยี่ยมยอด การเผชิญหน้ากับก้อนหินมากมายดูจะเป็นสถานที่เหมาะที่สุดเพื่อฝึกฝน

อย่างไรเสียเซี่ยงเส้าหยุนยังไม่คิดที่จะกลับเข้าไปในห้องที่สองในตอนนี้ เพราะจะต้องรักษาสัญญาที่จะพาเหล่าสหายไปเลี้ยงอาหาร เมื่อมาถึงสวนชั้นนอกที่เหล่าศิษย์ต่างฝึกฝนยุทธ์ เหล่านั้นหันมองเขาด้วยตาเป็นประกาย บางคนถึงกับกล่าวชื่นชม

เนื่องด้วยสามารถเอาชนะอู่หมิงเหลียงได้โดยง่าย เซี่ยงเส้าหยุนได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของศิษย์ชั้นนอก ศิษย์เหล่านี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในตัวเขา เหล่าศิษย์หญิงทั้งหลายต่างก็เรียกเขาว่า “ศิษย์พี่เซี่ยง!” บางคนที่โดดเด่นก็จ้องมองอย่างเย้ายวน สิ่งนี้ทำให้เซี่ยงเส้าหยุนภาคภูมิใจเกินกว่าจะเปรียบกับสิ่งใดได้

“ช่างเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอด! มันเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เรายังอยู่บ้าน!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวกับตนเองอย่างยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดเช่นนี้ท่าทีเริ่มขุ่นมัว สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกว่าบ้านในเวลานี้กลับเป็นบ้านของผู้อื่นไปเสียแล้ว ทำให้เขากลายเป็นสุนัขจรจัดไร้ซึ่งที่พักพิง

“ลูกพี่ อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง?” เซี่ยหลิวฮุยตะโกนสียงดัง ราวกับกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเซี่ยงเส้าหยุนเป็นลูกพี่ของตน

ดึงสติได้เซี่ยงเส้าหยุนจึงตอบคำ “ข้าจะหายเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร? แม้ข้าจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้วก็ตาม” เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม “ไปหาลู่เสี่ยวฉิง โม่ปูหุยและเหม่ยเหลียนฮวาแล้วเรียกพวกเขามา ข้าสัญญาว่าจะเลี้ยงอาหารแล้ว! ข้าจะไม่คืนคำอย่างแน่นอน”

“ข้ารู้ว่าคำของลูกพี่นั้นมีค่าดั่งทองคำ!” เซี่ยหลิวฮุยกล่าวอย่างยินดีก่อนจะยกนิ้วโป้งขวาขึ้นและกล่าวเสริม “พวกเขาอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวข้าจะไปรับพวกเขาเอง!”

โม่ปูหุยกับเหม่ยเหลียนฮวา และรวมถึงลู่เสี่ยวฉิง พวกเขาได้รับแรงกระตุ้นจากเซี่ยงเส้าหยุนและเริ่มฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเอาเป็นเอาตาย เพราะต้องการเอาชนะห้องที่สองได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้ล้าหลังเซี่ยงเส้าหยุนจนเกินไป

“เส้าหยุน บาดแผลหายดีแล้วหรือ?” เหม่ยเหลียนฮวาถามด้วยความรู้สึกห่วงใยเมื่อเห็นเซี่ยงเส้าหยุน เรื่องนี้ทำให้ลู่เสี่ยวฉิงกังวลไม่แพ้กัน นางหยุดชะงักและกลับคำที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย

เซี่ยหลิวฮุยแสดงสีหน้ามืดมน หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเพราะสนใจเหม่ยเหลียนฮวา อย่างไรเสียนางไม่เคยมองเห็นเขาในสายตา หัวใจของนางตั้งมั่นไปที่ลูกพี่ของเขา

“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ข้าใกล้จะหายดีแล้ว และมาเพื่อเชื้อเชิญพวกเจ้าไปกินอาหาร! เราไปกันเถอะ!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบอย่างยิ้มแย้ม

“เยี่ยมเลย! เรากำลังรู้สึกหิวอยู่พอดี” เหม่ยเหลียนฮวาหัวเราะคิดคักเบา ๆ ก่อนที่จะเข้าใกล้เซี่ยงเส้าหยุน

ท่าทีของนางทำให้โม่ปูหุยรู้สึกเยือกเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่ยินดี ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะปรากฏตัวขึ้น เหม่ยเหลียนฮวาเป็นของเขาผู้เดียว แม้ทั้งสองเหมือนใกล้ชิดมาก นางกลับไม่เคยตอบสนองกับเขาอย่างที่ทำกับเซี่ยงเส้าหยุนในตอนนี้แม้สักครา สิ่งนี้สร้างความไม่มั่นคงในตัวของเขา

แม้จะไม่ยินดีนัก แต่โม่ปูหุยสงบสติอารมณ์ก่อนจะกล่าว “เนื่องจากศิษย์น้องเซี่ยงมอบน้ำใจเช่นนี้ให้ ข้าจะขอน้อมรับมันไว้”

“แล้วจะรออะไรกันเล่า? กินกันให้พุงแตกเลยเถอะ!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะอย่างร่าเริง

ด้วยสองพันแต้มที่มี คงจะสามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อย่างที่ใจต้องการในเหลาอาหาร เมื่อมาถึงเหลาอาหารเซี่ยงเส้าหยุนสั่งอาหารต่าง ๆ และไวน์ในทันที สั่งอาหารจานแล้วจานเล่าอย่างฟุ่มเฟือย เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหม่ยเหลียนฮวาซึ่งหลงระเริงอยู่ก่อนแล้วตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

‘เส้าหยุนจะต้องเป็นองค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ของเราอย่างแน่นอน!’ เหม่ยเหลียนฮวาคิดกับตนเองขณะจ้องมองเซี่ยงเส้าหยุนด้วยความเสน่หา

ลู่เสี่ยวฉิงนั่งอีกด้านหนึ่งมีการแสดงสีหน้าที่ซับซ้อนฉาบไปทั่วใบหน้า หัวใจระส่ำระส่ายขณะที่นางครุ่นคิด เหตุใดกันข้าถึงรู้สึกไม่สบายใจที่ศิษย์พี่เหม่ยอยู่ใกล้เซี่ยงเส้าหยุนกัน? เราตกหลุมรักเขาเช่นกันงั้นรึ? เป็นไปไม่ได้!

“มา มา! วันนี้พวกเรามาดื่มกันจนกว่าจะพอใจ!” เซี่ยงเส้าหยุนประกาศขณะที่ยกแก้วขึ้น

“ขอให้เจ้าควบแน่นพลังดวงดาวและปลุกห้าดวงดาวให้ตื่นขึ้นในเร็ววัน!” เหม่ยเหลียนฮวารีบพูดคนแรก

เช่นนี้ผู้อื่นจึงยกขนมปิ้งก่อนจะดื่มหมดแก้วในคราวเดียว บางทีอาจเป็นเพราะไวน์บรรยากาศในโต๊ะจึงคึกคักถึงเพียงนี้

“เส้าหยุน เรามีบางสิ่งที่จะแบ่งปันกับเจ้า บางทีสิ่งนี้อาจจะช่วยให้เจ้าบรรลุระดับดวงดาวได้เร็วขึ้น!” เหม่ยเหลียนฮวากล่าว ดวงตาที่งดงามของนางจ้องมองไปยังเขา

“เหลียนฮวา!” โม่ปูหุยกล่าวอย่างจริงจัง

“เป็นอะไรไป? มิใช่ว่าเรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กับเซี่ยงเส้าหยุนงั้นหรือ? แล้วถ้าหากเซี่ยหลิวฮุยและลู่เสี่ยวฉิง ถ้าเข้าร่วมด้วยล่ะ?เราจำเป็นต้องมีกำลังคนให้มากอยู่ดี!” เหม่ยเหลียนฮวาตอบปฏิเสธที่จะหลีกทาง

เมื่อเห็นว่าเหม่ยเหลียนฮวาขัดแย้งกับตนในที่สาธารณะ ท่าทีของโม่ปูหุยก็ทรุดลงไปอีก เขากล่าว “ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้าว่าเรายังอยู่ในเหลาอาหาร ซึ่งเป็นสถานที่ไม่เหมาะแก่การพูดคุยเรื่องนี้”

เหม่ยเหลียนฮวาตระหนักถึงความโง่เขลา นางขอโทษและกล่าว “ข้าคงรีบร้อนเกินไปสำหรับเรื่องนี้ รีบกินอาหารให้เสร็จแล้วไปหาสักที่พูดคุยถึงเรื่องนี้กันเถอะ”

เซี่ยงเส้าหยุนพยายามรวบรวมข้อมูลจากการสนทนาของพวกเขาและครุ่นคิดกับตนเอง ‘บางสิ่งที่จะทำให้เราบรรลุระดับดวงดาวได้รวดเร็วขึ้นงั้นรึ? ดูเหมือนพวกเขาจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการถือกำเนิดวัตถุวิญญาณ!’

ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาทั้งห้าก็กินอาหารจนหมด ไม่เหลือเศษอาหารแม้แต่นิดเดียวจากนั้นเซี่ยงเส้าหยุนก็ไปชำระเงิน ก่อนพวกเขาจะออกจากเหลาอาหารไป

“เส้าหยุน ไปทางด้านนั้นและพูดคุยกัน! หากได้ทราบเรื่องขอรับรองว่าเจ้าต้องตื่นเต้นเป็นแน่!” เหม่ยเหลียนฮวากล่าวอย่างเขินอาย ร่างกายของนางแนบชิดกับเซี่ยงเส้าหยุน

แม้ว่าเหม่ยเหลียนฮวาจะดูไม่บริสุทธิ์และน่ารักแบบลู่เสี่ยวฉิง แต่นางชนะได้ด้วยสัดส่วนดินระเบิดของร่างกาย ทำให้เหล่าศิษย์ชายส่วนใหญ่ไม่สามารถต้านทานเสน่ห์อันรัญจวนของนางได้ ที่ถูกกล่าวมาเนื่องจากเซี่ยงเส้าหยุนเกิดมาไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงได้เห็นสตรีงดงามมากมายที่บ้าน เขาไม่ได้ชายตามองเหม่ยเหลียนฮวาเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงได้สามารถสงบสติอารมณ์ได้เป็นพิเศษแม้เหม่ยเหลียนฮวาจะตัวติดกับเขา

“ข่าวคราวนี้เป็นของศิษย์พี่โม่และตัวเจ้า เหตุใดถึงได้ลืมเรื่องนี้กันเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับ เขาพอสรุปได้ว่าโม่ปูหุยไม่เต็มใจจะแบ่งปันข้อมูลแก่ตน บางทีหากเป็นผู้อื่นการได้ทราบเรื่องที่สามารถทำให้ก้าวสู่ระดับดวงดาวได้นั้นคือความยอดเยี่ยม

ทว่าเรื่องนี้เซี่ยงเส้าหยุนไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เขามาถึงจุดที่สามารถปลดปล่อยพลังดวงดาวออกมาภายนอกได้แล้ว ตราบใดที่สามารถรวบรวมพละกำลังได้มากพอ การจะเข้าใกล้ระดับดวงดาวจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เขาจึงไม่แยแสกับทางลัดเล็ก ๆ นี้เท่าใดนัก

เหม่ยเหลียนฮวารู้สึกประหลาดใจเกินจะเชื่อและถาม “เส้าหยุน สิ่งนี่เกี่ยงข้องกับระดับดวงดาวนะ! มันอาจจะทำให้เจ้าบรรลุได้ในเวลาอันสั้น! เจ้าไม่หวังที่จะ—”

ก่อนที่นางจะกล่าวจบ เซี่ยงเส้าหยุนตัดบทและถามกลับสั้นห้วน “เจ้าคิดว่าการบรรลุถึงระดับดวงดาวจะเป็นปัญหาต่อข้าผู้นี้รึ?”

เหม่ยเหลียนฮวาทำได้เพียงยืนและไม่กล่าวอันใด ด้วยร่างกายที่มีห้าดวงดาวสถิตของเซี่ยงเส้าหยุน การจะบรรลุระดับดวงดาวจึงหาใช่เรื่องท้าทายของเขาไม่ โดยเฉพาะเขาเป็นคนบ้าที่สามารถทำลายสถิติของหอคอยแห่งขีดจำกัดได้

“หลังจากได้ยินคำของศิษย์น้องเซี่ยง ข้า โม่ปูหุยผู้นี้ยินดีแบ่งปันข้อมูลกับเจ้า!” โม่ปูหุยกล่าว

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset