ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 28 : ผู้คนต่างหนีจากปัญหา!

เมื่อถึงยามวิกาล เซี่ยงเส้าหยุนเลือกจะพักการฝึกวิชาดัชนีทลายดวงดาว และบดยาที่แลกมาก่อนหน้านี้แล้วพันไว้รอบนิ้วที่สะบักสะบอม

ดัชนีทลายดวงดาวไม่ใช่วิทยายุทธ์ระดับที่หนึ่ง แม้ว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นวิชาระดับที่สาม การฝึกฝนยากกว่าวิชาระดับสามทั่วไปถึงสิบเท่า เซี่ยงเส้าหยุนยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นเจ็ด เขาทำได้ถึงเพียงนี้ในวันเดียวถือว่าน่าทึ่งแล้ว

“ตัวเราในตอนนี้น่าจะเข้าสู่ช่วงถัดไปของระดับพื้นฐานขั้นเจ็ด หากคำนึงถึงความเร็วที่ตำราราชันพิชิตสวรรค์ช่วยในการฝึกฝนแล้ว อาจต้องใช้นับสิบวันจึงจะสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีปัจจัยจากหอคอยแห่งขีดจำกัดมาเกี่ยวข้อง ทว่าความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยนั้นมิได้ช่วยอะไรมากเมื่อเข้าไปยังเทือกเขาร้อยอสูร หากต้องการปกป้องตนเองในตอนนี้ เราคงจะต้องคิดแผนเผื่อเอาไว้” เซี่ยงเส้าหยุนกระซิบกับตนเองขณะเคี้ยวอาหาร และคิดแผนขั้นต่อไป

เพื่อจะกู้คืนทุกสิ่งที่เคยสูญเสีย เซี่ยงเส้าหยุนต้องคำนึงถึงทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ เขาไม่ได้ปรารถนาให้ปีแห่งความห้าวหาญจะถูกตัดให้สั้นลง และไม่ปรารถนาที่จะล้มเหลวในการใช้ชีวิตตามความคาดหวังของผู้อื่น

“รู้แล้ว! เราจะฝึกฝนวิชาก้าวราชันเก้าปรโลก! มันจะช่วยเพิ่มทั้งความเร็วและความสามารถในการต่อสู้!” เซี่ยงเส้าหยุนอุทานขึ้น ดวงตาเป็นประกาย

ก้าวราชันเก้าปรโลกเป็นวิชาเคลื่อนไหว คล้ายกับตำราราชันพิชิตสวรรค์ เซี่ยงเส้าหยุนพบมันในอาณาจักรลี้ลับเมื่อครั้งยังเยาว์ แม้จะไม่เหมือนอย่างหลัง ซึ่งเดิมทีเป็นวิชาที่สมบูรณ์แล้ว

เมื่อฝึกฝนวิชาก้าวราชันเก้าปรโลกสมบูรณ์แล้ว ก้าวสู่เบื้องหน้าคือการเยือนขุมนรก ก้าวสู่เบื้องหลังคือการเยือนเก้าขุมนรก จึงทำให้ผู้คนเข้าถึงนรกทั้งเก้าได้ เป็นวิชาเคลื่อนไหวขั้นสูงสุด และมีระดับของวิทยายุทธ์ที่สูงลิบ ผู้ที่แข็งแกร่งจำเป็นจะต้องฝึกฝนมัน

ทว่าวิชาเคลื่อนไหวนั้นแตกต่าง แม้จะไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่เริ่มฝึก แต่ก็สามารถฝึกฝนได้ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่าที่ควรนัก

ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากผู้ฝึกสามารถเข้าใจเพียงเศษเสี้ยวของวิชาเคลื่อนไหวระดับสูง มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เข้าใจถึงเบื้องต้นของวิชา เมื่อตัดสินใจแนวทางแล้ว เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มจดจ่อกับวิชาก้าวราชันเก้าปรโลกทันที

สองชั่วโมงผ่านไป เซี่ยงเส้าหยุนยิ้มอย่างขมขื่นและคร่ำครวญ “ช่างเป็นวิชาเคลื่อนไหวระดับสูงที่ควรค่าแก่การฝึกนัก ด้วยความสามารถในตอนนี้ เราคงสามารถเข้าใจกุญแจสำคัญของวิชาได้สักหนึ่งในสิบ หากเราต้องการเข้าใจอย่างถ่องแท้ อย่างน้อยคงจะต้องบรรลุระดับแปรสภาพเสียก่อน!”

เซี่ยงเส้าหยุนลุกขึ้นยืนและเริ่มเปิดใช้ตำราราชันพิชิตสวรรค์ขณะที่จิตใจเริ่มมองเห็นท่วงท่าที่ซับซ้อน ร่างกายเริ่มส่องประกายไปทั่วทุกที่

คึ่ก! คึ่ก!

ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม….

ตามความเข้าใจของเซี่ยงเส้าหยุน เขสฝึกฝนวิชาเคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จบ ดูเหมือนจะเปล่งออร่าได้เต็มที่ นี่เป็นความเข้ากันได้ของตำราราชันพิชิตสวรรค์และก้าวราชันเก้าปรโลก มิเช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เซี่ยงเส้าหยุนจะก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ในระยะเวลาอันสั้น

สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเวลาที่ต้องไปยังเทือกเขาร้อยอสูรได้มาถึง เซี่ยงเส้าหยุน โม่ปูหุย เหม่ยเหลียนฮวา และลู่เสี่ยวฉิงได้มารวมตัวกัน

“มากันครบทุกคนแล้วนะ รีบออกเดินทางกันเถอะ! ต้องใช้เวลาถึงสองวันจึงจะไปถึงเทือกเขาร้อยอสูร!” โม่ปูหุยกล่าว

“หากเพียงเรารู้ว่าเป็นเขาลูกไหน คงจะใช้เวลาไม่ถึงวันเพื่อไปที่นั่น” เหม่ยเหลียนฮวาถอนหายใจเบา ๆ

“เทือกเขาร้อยอสูรมีสัตว์อสูรมากมายนับไม่ถ้วน เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเชื่องและยอมให้เราขี่ ใช้กำลังบังคับให้พวกมันเป็นพาหนะได้” โม่ปูหุยตอบอย่างไม่เร่งรีบ

“หากข้าได้บรรลุถึงระดับดวงดาวแล้ว จะจับพวกมันมาขี่อย่างแน่นอน!” เหม่ยเหลียนฮวาประกาศด้วยความมั่นใจ หลังจากนั้นดวงตาของนางก็อ่อนลง นางเข้าไปใกล้เซี่ยงเส้าหยุนและกล่าวอย่างเขินอาย “เส้าหยุน เทือกเขาร้อยอสูรล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย เจ้าต้องปกป้องพวกเราให้ได้นะ”

“ศิษย์พี่เหม่ยทำเหมือนข้าเป็นคนนอกไปได้ พวกเราทั้งสี่กำลังเดินทางไปด้วยกัน แน่นอนว่าเราจะต้องดูแลกันและกัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับ

“เอาล่ะ ออกเดินทางกันเถิด” โม่ปูหุยบ่นงึมงำ

ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่จึงออกเดินทางจากตำหนักยุทธ์พร้อมกัน

“เป็นเวลาถึงครึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่เราเข้ามายังตำหนักยุทธ์ ในที่สุดก็ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เสียที!” เซี่ยงเส้าหยุนแอบดีใจ

ตำหนักยุทธ์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอู่ ชั่วขณะที่พวกเขาเดินออกมาจากตำหนักยุทธ์ ก็ได้อยู่บนถนนหลักของเมืองอู่แล้ว ในตอนนี้พวกเขาต้องออกจากเมืองอู่และเดินทางไปทางใต้ในสองวันจึงจะไปถึงเทือกเขาร้อยอสูร

ทั้งสี่คนต่างร้อนใจพร้อมเร่งรีบเดินทางออกจากศูนย์กลางเมืองอู่ ถึงจุดหนึ่งโม่ปูหุยจึงกางแผนที่ออกมาให้เซี่ยงเส้าหยุนและลู่เสี่ยวฉิงดูพอสังเขป นี่ก็เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจว่าเขาและเหม่ยเหลียนฮวาไม่คิดเก็บงำข้อมูลใด

เซี่ยงเส้าหยุนจดจำแผนที่อย่างรวดเร็วในส่วนลึกของความคิด ขณะเดียวกันเซี่ยงเส้าหยุนรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามอง

“ไม่ดีแล้ว พวกเรามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมสังเกต สองตัวบัดซบนั่นตามรอยมางั้นหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้ พื้นที่นี้ไกลห่างจากเขตอิทธิพลของพวกมัน ภายในเวลาแค่ปีไม่น่าจะหาตัวเราเจอได้! หรือจะเป็นผู้อื่น?” เซี่ยงเส้าหยุนครุ่นคิดกับตนเอง ขณะสังเกตเห็นเงาของกลุ่มคนมากมายกำลังจับตาดูจากทั่วทุกสารทิศ

คนเหล่านี้ล้วนมีอาวุธประจำกายและผูกผ้าปิดหน้า ทำให้ยากต่อการระบุตัว ทั้งสี่คนในกลุ่มของเซี่ยงเส้าหยุนได้รับการเตือนในทันที

โม่ปูหุยถามอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นใครกัน?! พวกเราเป็นศิษย์จากตำหนักยุทธ์!”

ภายในเมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ถือเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจ มีกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่กล้าท้าทายตำหนักยุทธ์ ซึ่งถูกปกป้องโดยตระกูลอู่ ในตอนนี้พวกเขาโดนกลุ่มคนสวมหน้ากากล้อมเอาไว้

“เจ้าหนูอย่าขยับ ยอมแพ้แล้วอยู่เฉย ๆ เสีย!” หัวหน้าของชายสวมหน้ากากตะโกนชี้ไปยังเซี่ยงเส้าหยุน

แม้ไม่ต้องกล่าวก็ทราบ คนเหล่านี้มาหาเซี่ยงเส้าหยุนโดยเฉพาะ

“พวกเจ้าจะทำอะไรกับเขากัน?! เขาเป็นถึงศิษย์จากตำหนักยุทธ์เชียวนะ!” เหม่ยเหลียนฮวากรีดร้อง

“หากเจ้าไม่ยอมเสียแต่โดยดี ข้าจะสังหารพวกเจ้าที่เหลือเช่นกัน ตำหนักยุทธ์จะไม่มีทางทราบได้โดยง่ายว่าใครเป็นผู้กระทำ” ชายสวมหน้ากากกล่าว น้ำเสียงไม่ได้ปิดบังเจตนาฆ่าแม้แต่น้อย

ขณะนี้เองที่ออร่าระดับดวงดาวแผ่กระจายมา เหม่ยเหลียนฮวาเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมต้องถอยเพราะออร่านี้

“พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าเป็นเป้าหมายของพวกมัน พวกมันจะไม่ทำร้ายเจ้า” เซี่ยงเส้าหยุนพูดอย่างใจเย็น

เขาคิดกับตนเอง ‘พวกนี้เพียงระดับดวงดาว เพราะงั้นไม่ใช่สองคนนั้นส่งมาแน่’’

เมื่อได้ยินคำของเซี่ยงเส้าหยุน ทั้งโม่ปูหุยและเหม่ยเหลียนฮวาแสดงท่าทีคิดสนับสนุน แม้พวกเขาจะไม่อ่อนแอ แต่ต่อหน้ายอดฝีมือระดับดวงดาว พวกเขาคงไม่อาจต้านทานไหว

“ไม่! พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะช่วยเหลือกัน! หากเป้าหมายของพวกมันคือเจ้า แสดงว่าพวกมันหมายหัวพวกเราทั้งหมด!” ใบหน้าของลู่เสี่ยวฉิงฉายแววอันบริสุทธิ์

“เหอะ สาวน้อย ไม่รู้ว่าควรจะชื่นชมเจ้าอย่างไรดี! เราจะพาตัวเจ้าไปด้วย จะได้สนุกด้วยกันอย่างไรเล่า” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างมีเลศนัยขณะเลียริมฝีปาก

ได้ยินเช่นนั้น กลุ่มชายจึงแค่นเสียงพร้อมเดินเข้ามาใกล้

“เซี่ยงเส้าหยุน ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า” โม่ปูหุยกล่าวอย่างรวดเร็วก่อนจะหันกลับหลัง เพื่อหลบหนี

ริมฝีปากราวหยกแก้วนั้นเม้มแน่น เหม่ยเหลียนฮวามองทางเซี่ยงเส้าหยุนด้วยสีหน้ายากลำบากและถอนหายใจ “เส้าหยุนดูแลตนเองด้วย”

หลังจากกล่าวจบ นางทอดทิ้งเซี่ยงเส้าหยุน เหลือเพียงลู่เสี่ยวฉิงที่เข้าใกล้เซี่ยงเส้าหยุนมากขึ้น เขาเฝ้ามองทั้งสองที่จากไป การแสดงออกของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเคยเจอเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน อย่างไรแล้ว ผู้คนต่างหนีจากปัญหา จากนั้นจึงได้ทราบว่าใครกันที่เป็นเพื่อนแท้

“หนีนั้นได้ ทว่าอย่าได้กลับเข้าตำหนักยุทธ์ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะสังหารให้สิ้นซาก!” ชายสวมหน้ากากเผยเสียงดังกล่าวเตือนเหม่ยเหลียนฮวาและโม่ปูหุย

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset