ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 103 โรยใส่หน้าไปเลย!

เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามอย่างกระชั้นชิด และยังมีเสียงของสายลม ทำให้ลู่เสวียนและเจียงหลีรู้ว่าพวกนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

“ไปเถอะ!” ลู่เสวียนกระซิบ

 

 

ขณะนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรตามใจเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับจูเทียนโย่วแล้ว แต่ถูกแทนที่ด้วยความจริงจังและระมัดระวัง

 

 

“หลียาโถ่ว เดี๋ยวถ้ามีโอกาส ข้าจะล่อพวกมัน แล้วเจ้าไปก่อน” ทันใดนั้น ลู่เสวียนได้พูดกับเจียงหลีประโยคหนึ่ง

 

 

เจียงหลีหันมองไปทางเขา เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่จริงจัง และหว่างคิ้วที่แสดงถึงความหนักแน่น

 

 

“เจ้าอยากให้ข้าถูกพี่ชายเจ้าทุบตายอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีประชด

 

 

ลู่เสวียนสะดุ้ง กล่าวยิ้มไร้เสียง “ที่แท้เจ้าก็กลัวพี่ชายข้าเช่นกัน!”

 

 

“เช่นกันอะไรกัน” เจียงหลีโต้กลับอย่างไม่ต้องคิด นางไม่มีทางกลัวคนขี้โรคเช่นนั้น อย่างมากก็แค่คิดว่าเขางดงาม และก็สงสารเขา

 

 

แต่แล้ว ราวกับเพิ่งรู้สึกตัว “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้ากลัวพี่ชายของเจ้าอย่างมาก” ไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงมีคำว่า ‘ก็’

 

 

ลู่เสวียนไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของเท้าลง ในแววตาที่หนักแน่นนั้น แฝงไปด้วยความอบอุ่น “ข้าเคารพพี่ชายข้า และเป็นห่วงเป็นใยเขา ความกลัวนี้มาจากการเคารพ”

 

 

เจียงหลีประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

เด็กดื้อในสายตาของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรเช่นนี้ออกมา

 

 

ลู่เสวียน ยังเป็นเด็กเหลือขอคนนั้นที่นางรู้จักอยู่ไหม

 

 

“ระวัง!” ทันใดนั้น ลู่เสวียนจับมือของเจียงหลี เขาดึงแรงๆ นางถูกดึงและถูกกดลง

 

 

ขณะเดียวกัน เจียงหลีก็รับรู้ได้ว่าข้างบนนั้นมีเสียงดังสนั่นขึ้น พลังที่แหลมคมได้ถูผ่านหนังหัวของนาง

 

 

ตามมาด้วยแสงของลูกธนูที่ลอยผ่านหน้านางไป กลายเป็นเส้นโค้ง ปักไปยังบนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปหนึ่งฟุต

 

 

ปั้ก!

 

 

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้ต้นไม้ต้นนั้นระเบิดไปทันที ลำต้นที่หนานั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ฟุ้งไปทั่ว

 

 

ลำต้นของต้นไม้เหล่านั้น แปรเลี่ยนเป็นอาวุธลับที่แหลมคม พุ่งตรงมายังเจียงหลีและลู่เสวียน ทั้งสองรับรู้อย่างรวดเร็ว จึงกระโจนไปด้านข้าง หลบหนีคลื่นการโจมตีนี้

 

 

“หลียาโถ่วเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เพิ่งจะรอดจากอันตราย ลู่เสวียนก็ถามด้วยความตึงเครียด

 

 

ถ้าเจียงหลีเกิดเป็นอะไรไป เขาจะรายงานกับพี่ชายอย่างไรเล่า

 

 

นางเป็นหญิงคนเดียวที่ใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ในเวลาหลายปีมานี้ และถึงขั้นส่งนางมาที่สถาบันไป๋หยวน ข้าจะไม่ยอมให้นางเป็นอะไรไปอย่างเด็ดขาด! ลู่เสวียนสัญญากับตนภายในใจ

 

 

เจียงหลีส่ายหัว นางไม่รู้ว่าลู่เสวียนคิดเช่นใดภายในใจ ทำได้เพียงหันไปมองต้นไม้ที่ระเบิดด้านหลัง ด้วยสายตาที่เย็นชา

 

 

ลูกธนูเมื่อครู่นี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการชีวิตนาง!

 

 

ถ้าหากลู่เสวียนดึงนางไปผิดข้าง นางก็คงเป็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น

 

 

“หลียาโถ่ว เป้าหมายของพวกเขาคือข้า เจ้าไปก่อนเถอะ” ลู่เสวียนมองไปยังเงาของที่ค่อยๆ เปิดเผยตัวตนทางด้านหลัง แล้วกล่าวแก่เจียงหลี

 

 

เจียงหลีก็มองไปที่คนพวกนั้นเช่นเดียวกัน นางกล่าวด้วยความเย้ยหยัน “ไปเถอะอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าให้ข้ามาทำอะไรที่นี่กันเล่า”

 

 

อะไรกันนี่

 

 

ลู่เสวียนผงะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

 

ไม่ ไม่ใช่ว่ามาเพื่อ ปก…ป้อง….นะ

 

 

“ถูกแล้ว! มาเพื่อปกป้องเจ้า” เจียงหลีอ่านท่าทางของเขาออก นางยกคิ้วขึ้น แววตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการหยอกล้อ

 

 

แต่นางยังไม่ลืม ว่ามีเด็กเหลือขอที่ไหนตบหน้าอกบอกว่าจะปกป้องนาง

 

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้! พี่ชายข้าทำไมถึงได้ให้เด็กสาวที่อายุอ่อนกว่าข้ามาปกป้องข้าได้” ลู่เสวียนไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้

 

 

ล้อเล่นอยู่รึเปล่า ให้เจียงหลีมาปกป้องเขาอย่างนั้นหรือ จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน

 

 

“เจ้ากำลังสงสัยในตัวพี่ใหญ่ของเจ้าหรือ” เจียงหลีพรางยิ้มพรางกล่าว

 

 

“ไม่ใช่! ข้าจะกลับไปบอกกับพี่ชายข้า ให้เขาเก็บความคิดนี้กลับคืนไป” ลู่เสวียนส่ายหน้า พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ

 

 

แน่นอน เจียงหลีกลับกล่าวว่า “รอให้เจ้ามีชีวิตรอดกลับไปค่อยบอกพี่ชายเจ้าเถอะ”

 

 

การถกเถียงกันของทั้งสอง ทำให้คนด้านหลังเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น

 

 

มีเสียงดังขึ้นกลางอากาศ จนทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง

 

 

เงาดำหลายเงา ผ่านหัวพวกเขาไป ลงมาหยุดอยู่ตรงหน้า และขวางทางเดินของพวกเขา

 

 

ท่าไม่ดีแล้ว!

 

 

ลู่เสวียนรู้สึกตกใจ และไปกำบังให้เจียงหลีตามสัญชาตญาณ

 

 

ทั้งสองอายุยังน้อย แต่คนแปดคนที่มาล้อมรอบเขาไว้ ล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ที่ร่างกายกำยำ

 

 

ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดสีดำ ปิดบังใบหน้า ปกปิดตัวตนของตัวเองอย่างมิดชิด ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถคาดเดาว่าพวกเขามาจากที่ใด

 

 

ลู่เสวียนและเจียงหลีชิดกัน สายตาจับตามองคนทั้งแปด

 

 

“ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา” ลู่เสวียนถามด้วยความรวดเร็ว “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงซื่อจื่อของตำหนักอ๋องลู่ พวกเจ้ากล้าลงมือเช่นนี้ พวกเจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”

 

 

เจียงหลีมองไปที่เขา ด้วยสายตาพร่าปนความไม่เข้าใจ

 

 

คำพูดพวกนี้ สำหรับนักฆ่าพวกนี้แล้วแท้จริงแล้วเป็นเพียงขยะ ถ้าพวกเขาเกรงกลัวตระกูลลู่ ก็คงไม่มาโผล่ที่นี่

 

 

แต่ว่า

 

 

ลู่เสวียนกวาดสายตามาที่เจียงหลี และขยิบตาอย่างสิ้นหวัง

 

 

เจียงหลียิ้มในใจ เด็กเหลือขอนี่ฉลาดเสียจริง แต่ถ้านี่เป็นการยื้อเวลาเพื่อหาโอกาส เป็นสิ่งที่งี่เง่าไปหน่อย

 

 

เขาก็ยังคงเป็นเขา ไม่เหมือนพี่ชายไปเสียทีเดียว เจียงหลีถอนหายใจเบาๆ

 

 

รู้สึกได้ถึงสายตาเย้ยหยันที่โผล่ออกมาของนักฆ่าพวกนั้น เจียงหลีก้าวขาไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยืนเคียงข้างลู่เสยวียน “พวกเจ้ากล้าฆ่าคนที่นี่ ดูแล้วคงมีคนอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า ข้าเชื่อใจคนของสถาบันไป๋หยวน อย่างนั้นก็เหลือเพียงสำนักหลิงอู่ที่บงการพวกเจ้า”

 

 

“แม่สาวน้อยฉลาดมาก แต่น่าเสียดายที่วันนี้ต้องตายเสียที่นี่” หนึ่งคนในนั้นพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาเป็นเพราะปิดหน้าเอาไว้จึงทำให้ลุ่มลึกไปหน่อย แต่ว่า ถ้าวิเคราะห์จากน้ำเสียง เขาน่าจะอายุราวสามสิบสี่สิบปี

 

 

แววตาของเจียงหลีหนักแน่น นางมีคำตอบในใจไว้แล้ว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่เด็กใหม่ แต่อาจจะเป็นศิษย์ปัจจุบันของสำนักหลิงอู่ หรือไม่ก็อยู่ในระดับอาจารย์!

 

 

พอรู้เช่นนี้แล้ว แววตาของเจียงหลีก็หนักแน่นขึ้น

 

 

หากเป็นเด็กใหม่ ก็ยังพอมีโอกาส

 

 

แต่ถ้าเป็นศิษย์ปัจจุบัน หรือเป็นอาจารย์ ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีเนตรญาณระดับหลิงเจี้ยง นางและลู่เสวียนจะสู้ได้อย่างไร

 

 

ครั้งก่อน วิธีการต่อสู้ที่นางใช้กับหมารับใช้หลิงเจี้ยงสี่ตัวแห่งตระกูลเย่ว์ เกือบไม่ได้ผล ถ้าไม่ได้จูเสียมาปลุกเจ้าของเดิม นางคงต้องเกิดใหม่อีกหน แต่วันนี้ จูเสียได้เผาผลาญพลังมากเกินไปและหลับใหลไปอีกครั้ง ไม่มีทางที่จะตื่นขึ้นได้ หลิงเจี้ยงของสำนักหลิงอู่แห่งเมืองหลวงของฮ่องเต้ ก็ไม่ใช่ระดับเดียวกับหมารับใช้ของตระกูลเย่ว์ นอกจากนี้จำนวนคู่ต่อสู้ยังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

 

 

แม้ว่าครั้งนี้ข้างกายนางจะมีลู่เสวียนเพิ่มเข้ามา แต่ก็คงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี!

 

 

ในขณะเดียวกัน ในหัวของเจียงหลีได้วางแผนการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน แต่นางกลับต้องถอดใจเพราะดูแล้วไม่มีโอกาสที่จะชนะ

 

 

และฝ่ายตรงข้ามมีถึงแปดคน ขณะนี้กำลังเย้ยหยันและเข้าใกล้ทั้งสอง แววตาของพวกเขาทำให้เจียงหลีไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง มองพวกเขาเหมือนลูกไก่ในกำมือ

 

 

“หลียาโถ่วไม่ต้องกลัว!” ลู่เสวียนกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงทุ้ม

 

 

ในความเงียบนั้น เขาคว้ามือของเจียงหลีอีกครั้ง

 

 

กลัวหรือ

 

 

เจียงหลีไม่กลัว อย่างมากก็แค่ตาย เพียงแค่ รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า!

 

 

“ไปตายซะเถอะ! ถ้าจะโทษ ก็จงโทษที่เจ้าเกิดมาในตระกูลลู่” คนที่พูดเมื่อครู่ ได้พูดขึ้นอีกครั้ง และด้วยเสียงของเขา เจ็ดคนที่เหลือก็เริ่มรวบรวมเนตรญาณ และเริ่มโจมตีลู่เสวียนและเจียงหลี

 

 

แน่นอน ในเวลานี้ ลู่เสวียนรีบคว้ามือหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าคาดเอวกำหนึ่ง ยกมือขึ้นแล้วโปรยไปรอบทิศ

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset