คนของสำนักหลิงอู่มาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองและต้องการจัดการแข่งขันกระชับมิตรเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามั่นใจในความสามารถของเด็กใหม่พวกนี้มาก
หนานอู๋เฮิ่นกวาดสายตาไปที่คนทั้งแปดเพียงพริบตาเดียว ก็เกือบจะมั่นใจแล้วว่าคนที่เป็นโปพนันและเป็นกำลังหลักของสำนักหลิงอู่คือชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม
ส่วนคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ก็ไม่เท่าชายหนุ่มผู้นั้น
ชายหนุ่มผู้นี้คือใครกัน หนานอู๋เฮิ่นคาดเดาในใจ ในความทรงจำของเขา ไม่มีบุคคลสำคัญเช่นนี้ปรากฎอยู่เลย หรือว่าอาจจะเป็นผู้ถูกเลือกที่โผล่ออกมาจากฟากฟ้าเช่นเดียวกับสาวน้อยเจียงหลี
“เจ้าอยากจะแข่งอย่างไร” ท่ามกลางรอยยิ้มที่จืดจางของอู๋เชียน ในที่สุดหนานอู๋เฮิ่นก็พูดขึ้นมา
พอได้ยินหนานอู๋เฮิ่นพูดเช่นนี้จึงโล่งอก แล้วยักคิ้วกล่าวว่า “ข้านำลูกศิษย์มาแปดคน จะต่อสู้แบบหมุนเวียนหรือหนึ่งต่อหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น กติกาทั้งหมดให้ท่านอาจารย์หนานตัดสินใจเถิด”
นั่นหมายความว่าสถาบันไป๋หยวนต้องคัดเลือกเด็กใหม่ให้ได้แปดคนด้วย และวิธีการแข่งขันคือเลือกหนึ่งในสองอันนั้น
“ความมั่นใจของสำนักหลิงอู่มาจากไหนหรือ ถึงกล้าแข่งแบบหมุนเวียน” ลู่เสวียนกล่าวพึมพำด้วยความประหลาดใจ
แววตาของเจียงหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยและมองไปที่กลุ่มคนของสำนักหลิงอู่เช่นกัน สุดท้ายสายตาก็หยุดไปที่ชายหนุ่มผู้เย็นชาคนนั้น นางรับรู้ได้เลยว่าบรรดาแปดคนของสำนักหลิงอู่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ดูน่ากลัวที่สุด
ขณะที่นางมองไปที่ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมและนิ่งเงียบผู้นั้น ก็ดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาและสายตาที่ว่างเปล่านั้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตานาง
พอเข้ามองเห็นเจียงหลีร่างเล็กที่มิอาจประมาทได้ซึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางมวลชนและสวมชุดฝึกฝนสีดำ รูม่านตาของเขาก็หดเล็กลง
แม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมันไว้สักเพียงใด แต่เจียงหลีที่จ้องมองเขาก็ยังคงเห็นถึงความตื่นตระหนกและความตื่นเต้นที่ฉายอยู่ภายในดวงตาของเขา
ดวงตาคู่นั้น บ่งบอกว่ารู้จักข้า! แต่ทว่า เหตุใดความทรงจำของเจ้าของเดิมถึงไม่ปรากฎบุคคลผู้นี้เลย เขาคือใครกัน แววตาของเจียงหลีฉายแสงแห่งความคิดพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มผู้เย็นชานี้ทำให้นางรู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนกับรู้จักเขามาช้านาน มีความเชื่อใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ และไม่สามารถสร้างความเป็นศัตรูกับเขาได้เลย
แววตาที่ตื่นตระหนกของชายหนุ่มฉายออกมาเพียงแวบเดียว หลังจากนั้น ก็กลับคืนสู่ความนิ่งสงบอันลึกซึ้ง การจ้องมองของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและหยุดมองเจียงหลี ราวกับว่านางไร้ตัวตนก็ไม่ปาน
“การต่อสู้แบบหมุนเวียน จะตัดสินผู้ชนะอย่างไร” หนานอู๋เฮิ่นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
อู๋เชียนอธิบายว่า “การต่อสู้แบบหมุนเวียนคือ ผู้แข่งขันหนึ่งคนต้องต่อสู้กับผู้แข่งขันแปดคนของฝ่ายตรงข้าม หากชนะ จะได้หนึ่งคะแนน เมื่อหมุนเวียนจนครบแปดรอบ ใครได้ชัยชนะมากครั้งที่สุดคือผู้ชนะ ส่วนการแข่งแบบตัวต่อตัวก็ง่ายกว่ามาก ลงแข่งหนึ่งต่อหนึ่ง รวมเป็นแปดรอบ สุดท้ายฝ่ายไหนได้รับชัยชนะมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ”
“หากแข่งแบบหมุนเวียนจะทดสอบพละกำลังและความอดทนเฉพาะตนสูงมาก”
“ใช่ พวกเราเป็นเพียงหลิงซื่อ พลังวิญญาณมีไม่มากนัก หากแข่งติดต่อกันแปดรอบ เกรงว่า…”
“…”
ผู้คนในสถาบันไป๋หยวนกระซิบ
“ท่านอาจารย์หนานจะเลือกแข่งแบบไหนดี” อู๋เชียนดูเหมือนจะไม่ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น จึงเอ่ยถามหนานอู๋เฮิ่นโดยตรง
คำถามนี้ ดูเหมือนจะเป็นคำถามธรรมดาทั่วไป
แต่ทว่า หากหนานอู๋เฮิ่นเลือกที่จะต่อสู้แบบหมุนเวียน จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขามิได้สนใจเด็กใหม่ เพื่อให้ได้หน้า จึงปล่อยให้เด็กใหม่โหมต่อสู้อย่างเต็มที่และท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง แต่ถ้าหากเขาเลือกวิธีตัวต่อตัว ก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่มีความมั่นใจและกลัวว่าลูกศิษย์ของสถาบันแห่งนี้ มิใช่คู่ต่อสู้ของลูกศิษย์แห่งสำนักหลิงอู่
ภายในประโยคเดียว กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยแผนชั่วร้าย
อู๋เชียนยิ้มอย่างสดใส รอคอยการเลือกของหนานอู๋เฮิ่น
“จะน่าเกลียดเกินไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว วันนี้คนของสำนักหลิงอู่ เปิดโลกทัศน์ของข้ามากจริงๆ”
“พวกเขามาท้าประลองเช่นนี้ เหตุใดถึงปล่อยให้พวกเขากำหนดกฎกติกาอีก”
“…”
คนของสถาบันไป๋หยวนไม่พอใจยิ่งนัก
หนานอู๋เฮิ่นยกมือขึ้นเพื่อหยุดบทสนทนาเหล่านั้น และนี่คือเหตุผลที่เขาพูดกับอู๋เชียน “เอาล่ะ ให้ลูกศิษย์เขาเลือกกันเองเถอะ”
อู๋เชียนขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่าอะไร”
หนานอู๋เฮิ่นยิ้มกล่าว “พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเด็กใหม่และความเข้าใจความสามารถของตนมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว ให้พวกเขาได้เลือกวิธีแข่งที่มั่นใจเองจะดีกว่า นี่มิใช่เผยให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ดีกว่าหรอกหรือ” เขาจงใจเน้นย้ำคำว่า “แลกเปลี่ยน”
แววตาของอู๋เชียนเย็นเยือกพร้อมยิ้มที่มุมปากอย่างดุดัน “ท่านอาจารย์หนานพูดถูกแล้ว ปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง”
“ในเมื่อเป็นการแข่งขัน จึงต้องมีผู้ชนะ อย่างนี้แล้วกัน ทางสถาบันไป๋หยวนจะมอบทักษะการต่อสู้ระดับพิเศษเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะ” หนานอู๋เฮิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ระดับพิเศษขั้นที่สาม!
ทันทีที่รางวัลนี้ประกาศออกมา ดวงตาของหลายๆ คนก็เป็นประกาย
ใบหน้าของอู๋เชียนดูแย่ลงเล็กน้อย ทางสถาบันไป๋หยวนใจกว้างถึงเพียงนี้ หากสำนักหลิงอู่มิได้มอบรางวัลที่มีค่าใกล้เคียงกัน คงจะน่าอับอายยิ่งนัก “สถาบันไป๋หยวนใจกว้างเช่นนี้ ทางสำนักหลิงอู่เราก็มิสามารถตระหนี่จนเกินไป ทางเราก็จะมอบทักษะการต่อสู้ระดับพิเศษขั้นที่สามเป็นรางวัลสำหรับครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”
“ทักษะการต่อสู้มีเพียงสองชุดเท่านั้น ผู้ลงแข่งมีจำนวนมาก ยากที่จะแบ่งกัน เอาเป็นว่า ใครได้รับคะแนนมากที่สุด ก็รับรางวัลเหล่านี้ไปเลย” หนานอู๋เฮิ่นกล่าวเสริม
“ได้” แววตาของอู๋เชียนคาดเดาไม่ได้พร้อมกับกัดฟันกล่าว
เดิมทีครั้งนี้สำนักหลิงอู่จงใจมายั่วยุและต้องการสร้างบารมีท่ามกลางสถาบันไป๋หยวน การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเด็กใหม่เป็นเพียงเล่ห์อุบาย แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกหนานอู๋เฮิ่นฉุดกระชากลากดึงไปมาเช่นนี้ สุดท้ายก็ได้กลายเป็นการแข่งขันกระชิบมิตรจริงๆ เสียแล้ว
“ตกลงกันเสร็จแล้ว ก็เริ่มกันได้เลย” หนานอู๋เฮิ่นยิ้ม
“แปดคนไหนของสถาบันไป๋หยวนลงแข่งหรือ” อู๋เชียนเอ่ยถาม
ใครจะไปคาดคิดว่า หนานอู๋เฮิ่นกลับกล่าว “นี่คือลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนเราทั้งหมด ใครจะลงแข่งก็ได้ทั้งนั้น ก็รวมให้ครบแปดคนพอ”
“…” อู๋เชียนไม่คิดว่าหนานอู๋เฮิ่นจะพูดเช่นนี้ออกมา
เมื่อเทียบกับคนที่สำนักหลิงอู่คัดเลือกมาอย่างดี การสุ่มเลือกเช่นนี้ของสถาบันไป๋หยวน ช่างถือโอกาสตบหน้าอย่างแรงเสียจริง
“ข้าเอง!”
“ข้าเอง!”
พอหนานอู๋เฮิ่นพูดจบ หลายคนจึงรีบเอ่ยออกมา
ลู่เสวียนก็อยากเสนอตัวเช่นกัน แต่กลับถูกเจียงหลีดึงกลับไป “หลียาโถ่ว รั้งข้าไว้ทำไม”
“เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อของจวนอ๋อง เจ้าต้องการทักษะการต่อสู้แบบใดก็ได้ทั้งนั้น อย่ามาแย่งกับพวกเราเลย” เจียงหลีตบไหล่เขาแล้วเดินผ่านเขาไปอย่างใจเย็น
คนทั้งแปดของสถาบันไป๋หยวนล้วนก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เจียงหลีก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งแม้แต่ไป๋หลี่เฟิ่งที่เดินจากไปแล้วก็ยืนออกมาด้วยเช่นกัน
พอเห็นเจียงหลีและไป๋หลี่เฟิ่งอยู่ท่ามกลางแปดคนนั้น ดวงตาของอู๋เชียนก็หม่นหมองลง “จิ่งเยี่ย เจ้าเริ่มคนแรก” เขาตะโกนบอกชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม
ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมก้าวออกมาอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง เขากลับหลบสายตาและมิได้มองไปที่ใครเลย จากนั้นยกนิ้วชี้ไปที่ฝ่ายตรงข้าม “แข่งแบบหมุนเวียน เริ่มที่เจ้า…”