ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 134 ลูกศิษย์อนาคตไกล

บ้าเอ้ย!

 

 

ข้าพูดคำพูดน่าอายเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร เจียงหลีด่าทอในใจ นางมาหาลู่เจี้ยเพราะต้องการถามเขาเรื่องอาณาเขตหลิงอู่และวิญญาณยุทธ์ต่างหาก

 

 

กลับนึกไม่ถึงว่านางจะลุ่มหลงความงามตรงหน้าจนลั่นวาจาคลุมเครือเช่นนั้นออกมา

 

 

บ้านหรือ

 

 

จวนลู่อ๋องเป็นบ้านของลู่เจี้ยจริงๆ แต่ทว่า ก็นับเป็นบ้านของนางด้วยหรือ

 

 

“หลีเอ๋อร์มานี่”

 

 

ลู่เจี้ยวางถ้วยสุราในมือลงแล้วกวักมือเรียก เจียงหลีไม่สามารถต้านทานมือที่ผอมเรียวและงดงามของเขาไปได้

 

 

นางเดินเข้าไปใกล้และได้กลิ่นหอมเย็นๆ ของสุราลอยมาจากร่างกายของลู่เจี้ย กลิ่นของสุรานั้นบางเบาและนุ่มนวลยิ่งนัก เจียงหลีได้กลิ่นก็รู้ทันทีว่ามิใช่สุราที่มีฤทธิ์แรง

 

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็ขมวดคิ้วและบ่นว่า “สุขภาพไม่ดี ยังดื่มสุราอีกหรือ”

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มเบาๆ พลางหยิบถ้วยสุราขึ้นมาเล่นไปเรื่อยๆ “ดื่มหรือไม่ดื่มก็มีค่าเท่ากัน เหตุใดถึงต้องละทิ้งความสุขของชีวิตไปเล่า”

 

 

น้ำเสียงที่พูดออกมาสงบนิ่งและราบเรียบ แต่เจียงหลีที่ฟังอยู่กลับรู้สึกอึดอัดใจ “ท่านไม่อยู่ที่จวนอ๋อง หนีมาที่นี่ทำไมหรือ ไม่กลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายท่านหรือ” แม้จะรู้ว่าลู่เจี้ยบำเพ็ญเป็นถึงเนี่ยนจง คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำร้ายเขาได้ง่ายๆ ก็ตาม แต่เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่พูดประชดประชัน

 

 

“ข้ามาตามนัด” ลู่เจี้ยตอบกลับสั้นๆ

 

 

“มาตามนัดหรือ มาตามนัดใครกัน” เจียงหลีงงงวย

 

 

ขณะนี้ ลู่เจี้ยยกดวงตาที่งดงามคู่นี้ขึ้นและมองไปทางด้านหน้าของทะเลดอกไม้ เจียงหลีมองตามสายตาของเขาแล้วหันหลังมองไป ร่างที่เลือนลางในชุดสีขาวค่อยๆ ผุดขึ้นจากทะเลดอกไม้และกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา

 

 

พอมองเห็นผู้มาเยือนอย่างชัดเจน เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะอุทานว่า ท่านชายที่งดงามดุจหยก!

 

 

เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์และลอยมาราวกับเทพบุตร เรือนร่างของเขาอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ แต่กลับมีความทนงตนที่ไม่แย่งความงามเพริศพริ้งของดอกไม้เหล่านั้นเลย

 

 

พอเขาเริ่มเข้าใกล้ ทำให้เห็นคิ้วของเขาอย่างชัดเจน และรู้สึกเหมือนยิ่งปรากฎความไม่แยแสที่มีความทะเยอทะยานอยู่เต็มเปี่ยม

 

 

ผู้ชายคนนี้ดูดีมาก แม้จะไม่สง่างามเท่าลู่เจี้ย แต่เขาก็เป็นคนงามที่พบเจอยากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สง่าราศีของเขาเป็นความบริสุทธิ์ที่มิได้เปรอะเปื้อนเม็ดฝุ่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้คนหลงใหลนัก

 

 

“เขาเป็นใครหรือ” เจียงหลีเอ่ยถามโดยลืมตัว

 

 

“เป็นคนลำดับต้นของสิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวงนามว่าหรงจิ่ง ซึ่งทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านชายจิ่ง” ลู่เจี้ยแนะนำอย่างนุ่มนวล

 

 

เจียงหลีหันหน้ากลับมาด้วยความประหลาดใจ แล้วมองไปที่ลู่เจี้ย “อย่างนี้นี่เอง เขาคือท่านชายจิ่งที่มีชื่อเสียงเคียงคู่กับท่าน!” นางรู้จักสามวีรบุรุษแห่งยุคอยู่แล้ว

 

 

ลู่เจี้ยกลับยิ้ม “ในสายตาของผู้คน ข้าเป็นเพียงนายน้อยผู้ล้มป่วยซึ่งไม่มีอะไรนอกจากความงาม คงจะทำให้หรงจิ่งผู้ที่มีทั้งความสง่างามและอนาคตก้าวไกลต้องลำบากใจแล้วที่ต้องมีชื่อเสียงเคียงคู่กันกับข้า”

 

 

“ก็ดีกว่าผู้มีชื่อเสียงในเรื่องผู้ลากมากดีอย่างฉินเทียนอีแล้วกัน” เจียงหลีเบ้ปาก ไม่ชอบที่ลู่เจี้ยดูถูกตัวเองเช่นนี้

 

 

พอได้ยินนางเอ่ยชื่อของผู้ชายอีกคน กอปรความอยากรู้อยากเห็นต่อผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอีกคน ดวงตาของลู่เจี้ยก็หม่นหมอง

 

 

อืม…ใครบอกเจ้าว่าข้าอยู่ที่นี่

 

 

ลู่เจี้ยเล่นถ้วยสุราในมือและจ้องมองอย่างเงียบๆ

 

 

เจียงหลีมิได้สนใจอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาเลย พร้อมกับหันหลังกลับไปมองหน้าหรงจิ่งอีกครั้ง

 

 

“พวกท่านรู้จักกันหรือ เหตุใดเขาถึงนัดท่านมาที่นี่” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างสงสัย

 

 

ลู่เจี้ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนทั้งห่างเหินและสนิทสนมในคราเดียวกัน “เขาคิดเสมอว่าข้าไม่ควรเป็นที่รู้จักของคนใต้หล้าเพียงเพราะความงามเท่านั้น”

 

 

เจียงหลีกล่าวด้วยความตะลึงงัน “เขากำลังสงสัยในตัวท่านหรือ” สายตาที่ชื่นชมของนางเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงทันที “เขาอยู่ฝ่ายไหนหรือ”

 

 

มิตรหรือศัตรู

 

 

“ไม่ใช่ทั้งสองฝ่าย หรงจิ่งไม่ถูกใครโน้มน้าวได้ง่ายหรอก” ลู่เจี้ยฟังออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง ความหม่นหมองในดวงตาคู่นั้นก็ถูกกวาดทิ้งออกไปแล้ว

 

 

แต่ทว่า เจียงหลีก็ยังคงไม่สบายใจ “เขาเป็นถึงผู้นำของผู้องอาจแห่งเมืองหลวง การฝึกฝนของเขาอยู่ขั้นใดกัน และท่านมาตามนัดเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเข้าจะลงมือทันทีเลยหรือ”

 

 

“หลีเอ๋อร์ลืมไปแล้วหรือว่าข้าก็ไม่ใช่ผู้บอบบาง” ดวงตาของหลู่เจี้ยแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

“…” เจียงหลีพูดไม่ออก

 

 

นางไม่รู้ว่าความทรงจำที่มีต่อลู่เจี้ยนั้นคือเครื่องกระเบื้องเคลือบที่เปราะบางจริงๆ หรือไม่ ถึงแม้จะรู้ว่าเขามีทั้งความสามารถในการปกป้องตัวเองและพรสวรรค์สำหรับการวางแผน แต่นางก็ยังคงมีความรู้สึกว่าต้องปกป้องเขาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

“ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” เสียงใสๆ ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง

 

 

เจียงหลีหันไปมองชายหน่มดุลหยกที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งอยู่ใกล้มากจนรู้สึกว่าเขาเปรียบไม่ได้กับปุถุชนทั่วไป พลังอำนาจที่ซ่อนอยู่บนร่างกายของเขา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการฝึกฝนของเขามิได้ต่ำเลย

 

 

พอรับรู้ว่ามีคนมองสำรวจเขาอยู่ หรงจิ่งจึงหันหน้าไปมองหญิงสาวชุดดำที่นั่งอยู่ข้างๆ ลู่เจี้ย ดวงตาของนางสดใสผิดปกติ เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองที่มีชัยเหนือทุกสิ่ง

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หรงจิ่งประหลาดใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่ความพิเศษของหญิงสาวผู้นี้ แต่เป็นการที่นางได้รับอนุญาตให้นั่งข้างลู่เจี้ยและปรากฏตัวอยู่ที่นี่ต่างหาก

 

 

จากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับลู่เจี้ยแล้ว เขาเป็นคนที่เข้าหายากยิ่งนัก แม้แต่เขาซึ่งเป็นชายหนุ่มที่ทุกคนอยากพบเจอ ก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ของลู่เจี้ยเสียทั้งสิ้น

 

 

“พระอาทิตย์ส่องแสงกำลังพอดี มาอาบแดดกันเถอะ” ลู่เจี้ยพูดตามใจคิด

 

 

ลู่เจี้ยเก็บความประหลาดใจที่มีต่อเจียงหลีไว้ก่อน ดวงตาดุจน้ำมองไปที่ลู่เจี้ยโดยแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยลู่จะยอมประลองยุทธกับข้าเมื่อใด”

 

 

เจียงหลียักคิ้ว นี่หรงจิ่งท้าทายลู่เจี้ยจริงหรือ อัจฉริยะผู้โดดเด่นกำลังท้าทายผู้ไร้ประโยชน์ในสายตาผู้คนทั่วไปอย่างนั้นหรือ

 

 

“ท่านชายจิ่งต้องการประลองอะไรกับคนป่วยอย่างข้าหรือ” ลู่เจี้ยยิ้มพร้อมกับรินสุราเต็มแก้ว

 

 

ปฏิกิริยาเช่นนี้ ทำให้หรงจิ่งถึงกับยักคิ้ว

 

 

พอมองไปที่ชุดของเจียงหลีแล้ว ดูเหมือนว่านางจะเป็นสาวใช้ของตระกูลู่ แต่นางกลับนั่งอยู่ข้างๆ นายน้อย แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างการรินสุรา ลู่เจี้ยก็ยอมทำเองมากกว่าที่จะเรียกใช้นาง

 

 

จากนั้น มองไปที่หญิงสาวชุดดำอีกครั้ง นางนั่งอย่างเป็นธรรมชาติโดยมิได้ระมัดระวังมากเกินไป ยิ่งไปกล่าวนั้นคือ ไม่มีความรู้สึกไม่สบายตัวปรากฎให้เห็นเลย ราวกับว่านางมิใช่สาวใช้ แต่เป็นบุคคลที่มีฐานะเช่นเดียวกับพวกเขา

 

 

หญิงสาวผู้นี้พิเศษสำหรับลู่เจี้ยมาก! หรงจิ่งตัดสินในใจ

 

 

“ทุกคนล้วนบอกว่าลู่เจี้ยอ่อนแอ แต่ข้าไม่เชื่อ” หรงจิ่งพูดกับลู่เจี้ย

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มอย่างเงียบๆ “จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นี่ก็คือเรื่องจริง”

 

 

ดวงตาของหรงจิ่งจริงจัง เขาไม่เชื่อว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับเขา จะอาศัยเพียงใบหน้าที่งดงามเท่านั้น ซึ่งแม้แต่ฉินเทียนอีผู้จองหอง อย่างน้อยๆ ก็มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน

 

 

ลู่เจี้ยสง่างาม และเป็นผู้ที่สง่างามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา!

 

 

อย่างไรก็ตาม มันยังไม่พอ!

 

 

เขากลับรู้สึกว่าลู่เจี้ยมีอะไรมากกว่าที่ทุกคนเห็นและเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้อย่างลึกๆ แน่นอน ซึ่งสิ่งนั้นคืออะไร เขาก็อยากรู้เช่นกันและจะอาศัยศักยภาพของตนขุดมันออกมา

 

 

ฉินเทียนอีสนใจเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลู่

 

 

ส่วนเขาสนใจในตัวลู่เจี้ย!

 

 

“หากข้ายังคงไม่เชื่อล่ะ” หรงจิ่งกล่าวอย่างช้าๆ ขณะเดียวกัน ก็ปรากฎการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณอันทรงพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา

 

 

พอรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณนั้น เจียงหลีก็ถึงกับตกใจ…

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset