ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 155 เจ้าควรมองการณ์ไกลกว่านี้

ความรวดเร็วของหนานอู๋เฮิ่นเร็วเสียจนกระทั่งแม้ใครก็ตามในสนามต่างก็ไม่ทันมองเห็นชัดนัก

 

 

เจียงหลีที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกลนัก รู้สึกถึงเพียงลมพัดผ่านใบหน้าไปเท่านั้น นางยังไม่ทันได้กะพริบตาก็รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านมา

 

 

หนานอู๋เฮิ่นกลับมาแล้วลงมายังข้างๆ นางใหม่อีกครั้ง

 

 

แต่ที่แตกต่างกันก็คือตรงหน้าของพวกเขาปรากฏคนที่เ**่ยวเฉาร่วงโรยสองคนถูกโยนทิ้งที่พื้นร้องโหยหวนไม่หยุด

 

 

“อ่า! พวกเขาคือผู้ดูแลหอวินัย”

 

 

“หุบปาก!”

 

 

“เหตุใดพวกเขาถึงได้อ่อนแรงลงล่ะ”

 

 

“ชู่ว ไม่เห็นหรือว่าผู้เฒ่าอู๋หน้าถอดสีไปแล้ว”

 

 

“หรือว่าการตามฆ่าอาจจะเป็นเรื่องจริง”

 

 

“…”

 

 

การปรากฏตัวของสองคนทำให้อาจารย์และลูกศิษย์สำนักหลิงอู่เดือดพล่านขึ้นมา สีหน้าของอู๋เชียนแทบจะดูไม่ได้

 

 

เจียงหลีจ้องทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น “ที่แท้พวกเจ้าก็คือผู้ดูแลสำนักหลิงอู่นี่เอง เช่นนั้นตัวตนของหลิงไซว่ดูเหมือนจะถูกเรียกออกมาแล้ว ข้าช่างมีหน้ามีตาเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้มีคนตามฆ่ามากมายถึงเพียงนี้”

 

 

คำพูดของนางทำให้ทั้งสองคนอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

 

 

ในกลุ่มคน จิ่งเยี่ยมองไปที่สองคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาและฉายแววอาฆาต

 

 

“หนานอู๋เฮิ่นเจ้าคิดจะทำอะไร” อู๋เชียนแผดเสียงใส่หนานอู๋เฮิ่นอย่างมิใคร่พอใจนัก

 

 

หนานอู๋เฮิ่นกลับนิ่งแล้วยิ้ม “ข้าอยากจะทำอะไรยังพูดไม่ชัดเจนอีกหรือ อู๋เชียน เจ้าเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ก่อน วันนี้ข้าจะเก็บสองชีวิตนั่นเอง นับเสียว่าเป็นการตอบแทนลูกศิษย์อย่างข้า”

 

 

อู๋เชียนเข่นเขี้ยว “เจ้ากล้า?”

 

 

แต่ทว่าหนานอู๋เฮิ่นกลับไม่สนใจคำเตือน ทันใดนั้นทั้งสองก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศด้วยน้ำมือของเขา

 

 

อ้ากกก!

 

 

“ไว้ชีวิตพวกข้าด้วยยย!”

 

 

ทั้งสองตะโกนลั่นอย่างตื่นตระหนก

 

 

เจียงหลีเชิดคางเรียวมองสองคนที่กำลังหวาดผวาด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มเย็นเยียบ วันนี้พวกเขาจะปฏิบัติต่อนางเยี่ยงไรในอาณาเขตของสำนักหลิงอู่หรือ

 

 

ไฉนตอนนี้ถึงได้กระดิกหางเหมือนหมาจนตรอกเช่นนี้

 

 

“แตะต้องลูกศิษย์สถาบันไป๋หยวนของข้า พวกเจ้าคิดว่ายังมีชีวิตได้อยู่อีกหรือ” พร้อมกับคำพูดของหนานอู๋เฮิ่น บนร่างผู้ดูแลสำนักหลิงอู่สองคนนั้นก็ปรากฏรอยแตกละเอียด

 

 

ปัง! ปัง!

 

 

เสียงดังสนั่นสองเสียงเป็นเสียงของร่างกายพวกเขาที่ระเบิดแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เลือดเนื้อกระเด็นเซ่นซ่านตกพื้นระเนระนาด ภาพเหตุการณ์นองเลือดช่างสะเทือนใจเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์สำนักหลิงอู่เหลือคณานับ

 

 

ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หนานอู๋เฮิ่นไม่ออมมือและโหดเ**้ยมไร้ซึ่งความปราณี

 

 

เมื่อเขาได้กระทำการทั้งหมดแล้ว จึงทำให้อู๋เชียนและคนอื่นๆ ในสำนักหลิงอู่ทำได้เพียงมองเขาด้วยความโกรธ

 

 

ในกลุ่มคน ดวงตาลุ่มลึกของจิ่งเยี่ยทว่าฉายแววความสะใจ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกขอบคุณและชื่นชมหนานอู๋เฮิ่น คนที่ทำร้ายน้องสาวของเขา ควรได้รับกรรมสาสมเยี่ยงนี้

 

 

“หนานอู๋เฮิ่น เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว” อู๋เชียนตวาดลั่น

 

 

ผู้ดูแลอาวุโสของสำนักหลิงอู่ต่างพากันกระโดดออกมาล้อมรอบหนานอู่เฮิ่นและเจียงหลีเอาไว้

 

 

บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ความกดดันเคร่งเครียด ใบหน้าแน่งน้อยของเจียงหลีกลับดูไม่ออกถึงความตื่นกลัว ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่มั่นคงนั้นกลับดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย

 

 

ซึ่งในนั้นมีฉินเทียนอีที่พึ่งจะรีบตามมาหลังจากได้ยินข่าวด้วย

 

 

อาภรณ์สีแดงสดใสเป็นจุดเด่นในกลุ่มคนมาก แววตาที่คุ้นเคยทำให้เจียงหลีเคลื่อนสายตามองไปยังคนหลงระเริงอย่างเขา แต่ว่าก็แค่มองปราดเดียวเท่านั้น นางจึงเบนสายตานิ่งเรียบไม่ฉายแววสิ่งใดอีก

 

 

การแสดงออกของนางทำให้ฉินเทียนอีรู้สึกสนใจ

 

 

เมื่อมองกลับมานางเห็นจิ่งเยี่ย ทั้งสองสบสายตากันแล้วผละออกจากกัน เพียงแค่ยืนยันว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก

 

 

“อู๋เชียน เจ้ากล้าลงมือหรือไม่” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มเยาะโดยไม่สนใจคนของสำนักหลิงอู่เลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงเอ่ยกับเจียงหลี “เด็กน้อย เราไปกันเถอะ”

 

 

เจียงหลีพยักหน้ารับคำหันหลังกลับตามหนานอู๋เฮิ่นไปยังด้านประตูใหญ่ของสำนักหลิงอู่

 

 

พวกเขาออกไปท่ามกลางสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของบรรดาคนในสำนักหลิงอู่ ดังคำที่หนานอู๋เฮิ่นได้กล่าวไว้ว่า อู๋เชียนไม่กล้าลงมือหรอก!

 

 

การจัดการกับหนานอู๋เฮิ่นไม่ง่ายเหมือนจัดการกับเจียงหลีขนาดนั้น เมื่อเรื่องบานปลายใหญ่โต ในกรณีที่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองสถาบัน เขาไม่สามารถแบกรับข้อกล่าวหาได้

 

 

แววตาของอู๋เชียนเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้งจนในที่สุดยังคงจ้องไปที่สองคนออกไปจากสำนักหลิงอู่

 

 

อย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใด

 

 

 

 

เมื่อออกมาจากสำนักหลิงอู่ เจียงหลีมองไม่ยังหนานอู๋เฮิ่นที่เก็บรอยยิ้มเอาไว้ ดวงตาเป็นประกายจนทำให้ไม่สามารถเพิกเฉยได้

 

 

ถูกนางมองจนรู้สึกหวาดหวั่น หนานอู๋เฮิ่นจึงหันไปมองนางบ้าง “เด็กน้อย เจ้ามองอะไร”

 

 

โดยไม่ทันคาดคิด เจียงหลีก็ยื่นแบมือมาที่เขา “สุนัขเฒ่าอู๋มอบวรยุทธ์ให้ข้า แล้วของท่านอาจารย์หนานล่ะ”

 

 

“…” หนานอู๋เฮิ่นกระตุกยิ้มมุมปากทั้งด่าทั้งขำ “เจ้าเด็กขี้งกเอ๊ย ข้ายังสามารถโลภเอากับเจ้าได้อีกหรือ” เมื่อกล่าวจบเขาจึงล้วงเอาตำราวรยุทธ์ที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้วโยนใส่อ้อมแขนของเจียงหลี “เอาไป”

 

 

“ขอบคุณท่านอาจารย์หนานมากเจ้าค่ะ” เจียงหลียิ้มตาหยีเก็บมันเอาไว้ หลังจากเตรียมตัวกลับไปก็ศึกษาตำราวรยุทธ์ในมือทั้งสองเล่มอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกที

 

 

ทันใดนั้นหนานอู๋เฮิ่นก็เอ่ยถามขึ้น “เด็กน้อยเจ้ารู้จักสถาบันไป๋หยวนหรือไม่”

 

 

เอ่อะ!

 

 

เจียงหลีชะงัก ไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำถามของเขาสักเท่าไหร่

 

 

แต่หนานอู๋เฮิ่นกลับตอบคำถามขึ้นมาเอง “สถาบันไป๋หยวนไม่เพียงแต่ดำรงอยู่ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าทั้งดินแดนใต้แผ่นดินใหญ่นี้ ต่างก็มีสถาบันไป๋หยวนอยู่นับหลายแว่นแคว้น”

 

 

เจียงหลีนึกประหลาดใจ

 

 

นางคิดว่าหนานอู่เฮิ่นคงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกกระมัง

 

 

“เด็กน้อย พรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยม เกรงว่าในราชวงศ์โฮ่วจิ้นจะหาใครสักคนมาเปรียบเทียบกับเจ้าคงยาก ฉะนั้นสายตาของเจ้าควรจะมองการณ์ไกลกว่านี้และไม่จำกัดย่ำอยู่กับที่” หนานอู๋เฮิ่นกล่าวอย่างปลงตก

 

 

“เช่นนั้นข้าควรมองไปในทิศทางไหน” เจียงหลีหรี่สายตาถามเพื่อเป็นการหยั่งเชิง

 

 

ความทรงจำของร่างเดิมจำกัดอยู่ที่ดินแดนใต้หรือเรียกว่าราชวงศ์โฮ่วจิ้น นอกเหนือจากโลกใบนี้นางยังคงไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

 

 

“ซีฮวง แดนตะวันตก” หนานอู๋เฮิ่นตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

 

 

ซีฮวง?

 

 

แดนตะวันตก!

 

 

เจียงหลีหรี่ตา ชื่อที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางเกิดภวังค์อย่างไร้ขีดจำกัดภายในใจ “ทำไมถึงต้องเป็นซีฮวงหรือเจ้าคะ”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นมองนางยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าควรรู้ไว้สักนิดว่าสถาบันไป๋หยวนทั้งหมดต่างรับใช้อำนาจอิทธิพลบางอย่างในแดนตะวันตก เพื่อเลือกคนที่มีพรสวรรค์ให้แก่อำนาจนั้น เจ้าก็จะเข้าใจแล้ว”

 

 

ตูม!

 

 

ราวกับสมองของเจียงหลีถูกระเบิดก็มิปาน

 

 

นางมิได้โง่ นางเข้าใจถึงความหมายที่หนานอู๋เฮิ่นพยายามจะสื่อ

 

 

สถาบันไป๋หยวนมีกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้เทียบเท่าอำนาจราชสถาบันในราชวงศ์โฮ่วจิ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถาบันไป๋หยวนอีกหลายแห่งหลายวิทยาเขตใช่หรือไม่ และเบื้องหลังสถาบันที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งกลับเลือกแต่คนที่มีพรสวรรค์เพียงเพื่ออิทธิพลที่ยิ่งใหญ่กว่า นี่คืออิทธิพลรอบนอกของรอบนอกที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!

 

 

อีกทั้งอิทธิพลดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งเดียวในซีฮวง แดนตะวันตก

 

 

ซีฮวง…จะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด กระจายอำนาจอิทธิพลไปเท่าไหร่ ยังมีอิทธิพลที่แข็งแกร่งกว่ามันอีกหรือไม่

 

 

เจียงหลีอึ้งอยู่ที่เดิม แต่หนานอู๋เฮิ่นกลับยิ้มพอใจดูเหมือนว่าเขาจะแกล้งนางสำเร็จ เขาตบบ่าเจียงหลีเบาๆ “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่แค่ไหน อยากจะออกไปจากที่นี่นั้นง่ายมาก จากนี้อีกสามปีต้องมุ่งมั่นเข้าร่วมจำนวนคนให้ได้!”

 

 

เจ้าเด็กคนนี้ใจเย็นมาโดยตลอด คราวนี้ตกใจจนดูโง่เขลาไปเลยใช่ไหมล่ะ หนานอู๋เฮิ่นยกยิ้มร้ายๆ

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset