ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 157 ถามว่าเจ้ากลัวหรือไม่

มีคนมาเรียกร้องความสนใจเสียแล้วหรือ

 

 

เจียงหลีลอบแสยะยิ้มในใจไม่หยุด เห็นว่านางอายุน้อยคิดจะรังแกได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่

 

 

“สิบสามหรือ พึ่งจะสิบสามเองหรือ” หลังได้รับคำตอบผู้ที่เอ่ยปากถามจึงร้องเสียงหลงอย่างประหลาดใจ

 

 

ระดับเสียงของเขาไม่เบาเลย ดูเหมือนกลัวว่าจะมีคนได้ยินไม่มากพอ

 

 

จริงดั่งว่า ในขณะที่เขากับพวกพ้องกำลังร้องแรกแหกกระเชอ ผู้คนไม่น้อยในงานฤดูล่าสัตว์ของราชสำนักต่างกรูกันเข้ามาล้อมรอบ

 

 

ในดวงตาของบรรดาผู้คนที่กำลังล้อมรอบเหล่านี้ฉายแววอยากรู้อยากเห็นมีส่วนร่วมในการดูงิ้วหยอกล้อเสียดสี เจียงหลีกวาดสายตามองโดยรอบอย่างรวดเร็วจึงพบว่าคนที่มางานฤดูล่าสัตว์ล้วนแก่กว่าหนึ่งรุ่นจริงๆ ทุกคนต่างมีอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้า คนที่ดูโตกว่าก็อยู่ที่ยี่สิบต้นๆ เหล่าบุรุษและดรุณีน้อยช่างดูมีพรสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด

 

 

‘เด็ก’ อายุน้อยเช่นนางพบเห็นน้อยนัก

 

 

ดังนั้นพวกเจ้าจึงเห็นข้าเป็นเป้าโจมตีไปแล้วหรือ เจียงหลีหัวเราะให้ตนเองแล้วมองไปที่คนหาเรื่องกลุ่มนี้ด้วยสายตายียวน

 

 

“พึ่งจะอายุสิบสามเองก็มางานฤดูล่าสัตว์แล้วหรือ สงสัยคงตามรุ่นพี่ในสำนักมาดูลาดเลากระมัง”

 

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้น อายุแค่สิบสามถึงนางจะมีพรสวรรค์โดดเด่น มากสุดคงเป็นได้แค่หลิงซื่อระดับสูงก็ช่างเถอะ มาที่นี่ก็เพื่อเพียงถูกบดขยี้ให้แหลกเท่านั้น”

 

 

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงนางหรอก สิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวงอยู่ที่นี้ เราทั้งหลายก็มาเพื่อถูกบดขยี้ให้แหลกเป็นจุลได้เฉกเช่นกัน”

 

 

“อย่างไรเสียแม่เด็กน้อยผู้นี้นับว่าโชคร้ายยิ่งนัก มาถึงก็ถูกพวกนี้รังแกจนกลัวหัวหดเสียแล้ว”

 

 

“เหอะๆ ถือว่าได้รับการสั่งสอนก็แล้วกัน ตอนที่ไร้ศักยภาพบางสถานที่อย่างไรเสียก็ไม่ต้องสาระแนเข้ามาง่ายๆ”

 

 

“พี่ชายท่านนี้กล่าวไว้ไม่มีผิด ตอนที่ไร้ศักยภาพ บางสถานที่ง่ายต่อการเข้าไปก่อกวน แต่ก็ทำได้แค่ขายหน้าเพียงเท่านั้น” ทันใดนั้นเจียงหลีเบือนสายตามองคนที่กำลังพูดอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มจนตาหยี

 

 

คนที่พูดเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาผู้คนที่ล้อมรอบ เมื่อเห็นสาวน้อยชุดดำกล่าวเช่นนี้จึงแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

 

 

แต่ทว่าที่เจียงหลีพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตนเยี่ยงนี้ยังแค่พูดซ้ำคำที่เขากล่าวมาจึงทำให้เขาอยากบันดาลโทสะแต่ก็ทำมิได้

 

 

เมื่อเจียงหลีกล่าวประโยคนั้นจบจึงหันสายตามองไปยังร่างพวกคนที่แกว่งปากหาเสี้ยนกับนาง “ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้หมายถึงพวกเจ้าต่างหากล่ะ”

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หัวโจกผู้นั้นเผยสีหน้าถมึงทึง เขาถูกเจียงหลียั่วโมโหได้อย่างง่ายดาย

 

 

อันที่จริงก็มิอาจโทษพวกเขาที่ความอดทนต่ำหรอก เพียงแต่สีหน้าของเจียงหลีในขณะที่กำลังพุดประโยคนั้นมันช่าง…จริงๆ

 

 

บรรดาคนที่มาหาเรื่องมองเจียงหลีด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามความโกรธเดือดดาลในใจปุดๆ

 

 

เหอะ นางเด็กคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นต้นหอมจริงๆ หรืออย่างไร ถึงได้เสนอหน้ามาปากดีใส่พวกเขาอีกทั้งยังมองพวกเราราวกับมดก็มิปาน

 

 

“เด็กน้อย ที่บ้านไม่มีใครเคยบอกเจ้าหรือว่าขี้โม้โอ้อวดเกินไปมักมีจุดจบที่น่าสมเพช” คนที่มาหาเรื่องยิ้มกัดฟันกรอดๆ

 

 

เจียงหลีกลับไม่แสดงสีหน้าหวาดหวั่นดั่งที่พวกเขาคิด อีกทั้งยังพยักหน้าเคร่งขรึม “จริงด้วย ขี้โม้โอ้อวดเกินไปจะเป็นภัยโดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ไร้ความสามารถแถมยังขี้โม้โอ้อวดคงมีจุดจบน่าสมเพชเป็นแน่”

 

 

“…”

 

 

“…”

 

 

พวกที่มาหาเรื่องอึ้งไปชั่วขณะ

 

 

ฝูงชนเกิดความโกลาหล

 

 

ในที่ไกลออกไปมีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆ กระจายอยู่สองสามกลุ่ม แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้ามายืนร่วมวงได้แต่ก็กำลังให้ความสนใจเหตุการณ์ทางด้านนี้เช่นกัน

 

 

“อ้าว เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ชอบแส่หาเรื่องจริงๆ ด้วย” ฉินเทียนอีในอาภรณ์สีแดงกับผองเพื่อนยืนอยู่ด้านหนึ่ง หลังจากที่เห็นเจียงหลีท่ามกลางฝูงชนใบหน้าหล่อเหลาจึงยิ้มขึ้นมาอยากสดใส

 

 

คำพูดของเขาทำให้สหายนึกสงสัยจึงอดถามมิได้ “คุณชายรอง ท่านรู้จักเด็กนั่นด้วยหรอ”

 

 

ฉินเทียนอียักคิ้วด้วยรอยยิ้มยียวน “ถือว่ารู้จัก”

 

 

“เช่นนั้นพวกเราต้อง…” พวกพ้องเสาะถาม เพียงแค่ฉินเทียนอีพยักหน้าพวกเขาก็พร้อมลงมือเพื่อจบงิ้วน้ำเน่าโรงนี้เสียที

 

 

จากนั้นฉินเทียนอีกลับหัวเราะอย่างผ่าเผย “พวกเจ้ามิต้องสนใจ เรื่องแค่นี้เจ้าเด็กนั่นสามารถจัดการได้ หากพวกเจ้าสอดมือเข้าไปยุ่ง เกรงว่าจะโดนนางบ่นเข้า

 

 

เหอะ!

 

 

พวกพ้องของเขาชะงักงันไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องยื่นมือเข้าช่วยเจียงหลีอีกได้แต่หัวเราะแหะๆ ไม่ใจเรื่องนี้อีก

 

 

“พี่ชิงเหยียน นางก็คือคนที่ลู่เสวียนชอบนั่นเอง” อีกทางด้านหนึ่ง ดวงตากลมโตอันมีเสน่ห์ของโจวยวนเต็มไปด้วยความเสียใจ สายตามองไปยังลู่เสวียนกับเจียงหลีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนทั้งรู้สึกอิจฉาริษยาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

 

 

แต่ทว่ามู่ชิงเหยียนที่ยืนข้างนางกลับดูเหมือนว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่นางพูด สายตากลับมองจิ่งเยี่ยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างไกลจากพวกเขา

 

 

นางพบว่านัยน์ตาของจิ่งเยี่ยก็จดจ้องไปที่แม่นางชุดดำนั่นเช่นกัน

 

 

อีกทั้งนางยังพบว่ามีความปรารถนาบางอย่างซ่อนอยู่ในแววตาของเขา

 

 

หลังจากค้นพบจุดนี้ ในใจของนางดำดิ่งโศกเศร้าอีกทั้งยังผิดหวังเสมือนดั่งสิ่งของที่ตนเองปรารถนากลับถูกผู้อื่นแย่งชิงไปอย่างง่ายดาย

 

 

“พี่ชิงเหยียน?” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับโจวยวนจึงตะโกนเรียกอย่างใคร่รู้

 

 

แต่มู่หว่านโหรวกลับกล่าวเตือนขัดจังหวะนางเสียก่อน “ราชสำนักกับตระกูลลู่ต้องปะทะกันดุเดือดเข้าสักวัน ยวนเอ๋อร์ ลู่เสวียนนั้นมิใช่ผู้ที่เหมาะสมกับเจ้า”

 

 

คำกล่าวเตือนของนางทำให้โจวยวนน้ำตาคลอเบ้าเบะปากสะบัดสะบิ้ง “ข้าไม่สนหรอก! ข้าชอบเขา พวกเขาจักฟาดฟันกันเยี่ยงไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาสิ แต่พวกเจ้าไม่ว่าใครก็ตาม ข้าไม่อนุญาตให้ทำร้ายเขาเด็ดขาด!”

 

 

มู่หว่านโหรวขมวดคิ้วส่ายหน้าอย่างอดรนทนมิได้กับความ ‘หลงจนโงหัวไม่ขึ้น’ ของนาง

 

 

 

 

“นางเด็กเมื่อวานซืน เจ้าว่าอย่างไรนะ!” หัวหน้าอันธพาลถึงกับถกแขนเสื้อขึ้นมาแล้ว

 

 

ทันใดนั้นนัยน์ตาของลู่เสวียนเฉียบคมยืนขึ้นปกป้องเจียงหลีเอาไว้ข้างหลัง “พวกเจ้าเรียกใครเด็กเมื่อวานซืน”

 

 

เมื่อเขาฉายแววกรุ่นโกรธ พวกนั้นจึงหน้าถอดสี

 

 

จากนั้นเจียงหลีกลับผลักลู่เสวียนออกไปเบาๆ ไพล่มือไว้ข้างหลังก้าวเดินออกมา หรี่ตายิ้มจ้องมองไปที่พวกนั้นก่อนจะกล่าวกับลู่เสวียน “เรื่องเล็กแค่นี้ ข้าจัดการเองได้”

 

 

เมื่อลู่เสวียนเห็นรอยยิ้มของนางก็ขนลุกไปทั่วสรรพางค์กายก้าวถอยไปข้างหลังมองพวกนั้นด้วยความเห็นใจเปี่ยมล้น

 

 

พวกนั้นเมื่อมองเขาถอยหลังไปแล้วจึงฮึกเหิมมองไปที่เจียงหลีด้วยสีหน้าดุดัน

 

 

เด็กเมื่อวานซืนอายุแค่สิบสาม ชายชาตรีอย่างพวกเขาจะกลัวนางหรือ

 

 

ล้อ…ล้อ…ล้อกันเล่นหรือนี่

 

 

สีหน้ายียวนในสายตาของพวกเขากลายเป็นตกตะลึง…ไม่ หวาดผวาต่างหาก พวกเขามองเจียงหลีที่ปลดปล่อยพลังของตนเองอย่างยากจะเชื่อราวกับเห็นผีก็มิปาน

 

 

“หลิงเจี้ยง!”

 

 

“นี่คือลมปราณของหลิงเจี้ยง”

 

 

“สาวน้อยอายุสิบสามคนนี้เป็นหลิงเจี้ยงจริงๆ ด้วย!”

 

 

“สวรรค์ข้า โลกนี้ลวงตาแล้วหรือ หลิงเจี้ยงอายุแค่สิบสามปี แค่สิบสามปี เมื่อเทียบกับนางแล้วเรากลายเป็นเศษเดนเลยนะ”

 

 

“ข้าตาฝาดแน่ๆ หลิงเจี้ยงที่อายุสิบสามปี เป็นไปได้อย่างไร”

 

 

“…”

 

 

เทียบกับพวกอันธพาลที่แข็งราวกับหินไป หลังจากฝูงชนที่ยืนมุงดูกลับสูดเอาไอความเยือกเย็นนี้เข้าไปต่างก็ตกอยู่ในความตกใจที่เรียกได้ว่า ‘สยองขวัญ’

 

 

เสมือนถูกคลื่นพายุโหมกระหน่ำในใจของพวกเขา การปรากฏตัวของเจียงหลีทลายอุดมคติอันมีมาแต่ดั้งเดิมของพวกเขา

 

 

สีหน้าตกตะลึงของผู้ชมและสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอันภาคภูมิของลู่เสวียน

 

 

“ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมงานฤดูล่าสัตว์แล้วหรือยัง” เจียงหลียังคมยิ้มตาหยีจ้องมองพวกอันธพาล

 

 

พวกอันธพาลนั้นหน้าขาวซีดดูไม่ได้ กระจุกรวมกันด้วยความสั่นเทิ้ม คำพูดของเจียงหลีราวกับฝ่ามือที่ตบหน้าพวกเขาฉาดใหญ่ เจ็บจนพวกเขาใบ้รับประทาน พูดอะไรไม่ออก เพียงแต่รู้สึกถึงความหวาดผวาที่ปกคลุมไปทั่วร่าง

 

 

คุณสมบัติอย่างนั้นหรือ

 

 

หากนางไม่มีคุณสมบัติล่ะก็ เช่นนั้นพวกเขาคงต้องทำได้แค่ถือหาวงวิ่งจุกตูดเสียแล้วล่ะ

 

 

ทุกคนเก็บความชิงชังไว้ในใจ

 

 

“เหอะๆ น่าสนใจ บุตรสาวของเจียงหลินเฟิงคนนี้ช่างเป็นคนยอดเยี่ยมน่าสนใจเยี่ยงนี้จริงๆ”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset