ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 158 เขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมือนกัน

“เหอะๆ น่าสนใจ บุตรสาวของเจียงหลินเฟิงคนนี้ช่างเป็นคนยอดเยี่ยมน่าสนใจเยี่ยงนี้จริงๆ”

 

 

นอกจากฝูงชนจะตกตะลึงแล้วร่างหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวไม่ฉูดฉาดทว่าโดดเด่นท่ามกลางหมู่คนราวกับดาวล้อมเดือน นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาววับสะท้อนให้เห็นสาวน้อยชุดดำคนนั้นที่กำลังแกล้งข่มใส่ฝูงชนอยู่

 

 

“คุณชายจิ่ง นางเป็นบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงหรือ” คนข้างกายเขาถามด้วยความประหลาดใจ

 

 

น้ำเสียงนั้นแสดงความเคารพอย่างยิ่ง แม้กระทั่งดวงตายังแสดงออกถึงความเทิดทูนบูชาบุคคลตรงหน้า

 

 

หรงจิ่งผงกศีรษะเส้นผมสีหมึกพลิ้วไหวเองแม้ไร้คลื่นลม

 

 

“เคยแต่ได้ยินว่าบุตรชายของเจียงหลินเฟิงเป็นอัจฉริยะ กลับไม่รู้เลยว่าบุตรสาวของเขาก็เก่งกาจเช่นนี้ หลิงเจี้ยงที่อายุสิบสาม ดูแล้วทั้งโฮ่วจิ้น ไม่สิ ดูแล้วทั่วทั้งแดนใต้มิมีผู้ใดเหมือนแน่นอน”

 

 

คนอื่นต่างพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย

 

 

ต่อหน้าหรงจิ่งพวกเขาไม่กล้าเอ่ยเสียงดังเกรงว่าจะรบกวนความสงบของเขา

 

 

หรงจิ่งกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ “บางทีแม้เจียงหลินเฟิงเองอาจจะไม่รู้ก็ได้”

 

 

 

 

ตู้มมม!

 

 

พวกอันธพาลถูกเจียงหลีใช้พลังข่มจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเข่าอ่อนคุกเข่าต่อหน้านางทีละสองคนสามคน ขณะเดียวกัน มิต้องให้รอผู้อื่นบอกพวกเขาก็รู้ว่าตัวเองเตะโดนตอเหล็กเข้าให้แล้ว

 

 

หลิงเจี้ยงอายุสิบสาม อ้ากก!

 

 

แม้แต่เชื้อพระวงศ์ต่างก็เป็นบุคคลที่ต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง พวกเขาจะไปหาเรื่องได้อย่างไร

 

 

“แม่นางน้อย พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรามีตาหามีแววไม่ ท่านผู้ยิ่งใหญ่มีพลังกล้าแกร่ง ปล่อยพวกเราไปเถอะ” หัวโจกอันธพาลตบหน้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายร้องขอชีวิตไม่หยุดหย่อน

 

 

ผู้คนโห่ร้องทั่วสารทิศอย่างหยามเหยียดพฤติกรรมเยี่ยงนี้ของพวกเขา

 

 

แต่ทว่าพวกเขาไม่กล้าพูดสิ่งใดออกไปและไม่อยากผูกความแค้นกับหลิงเจี้ยงอายุสิบสามเช่นเดียวกัน

 

 

มุมปากของเจียงหลีเจือรอยยิ้ม หรี่ตาจึงทำให้มองไม่ออกว่านางกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

 

 

ขณะเดียวกันคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้กลับรู้สึกประหลาดใจ สาวน้อยในอาภรณ์สีดำผู้นี้ไฉนถึงมีพรสวรรค์เก่งกาจเยี่ยงนี้ การฝึกตนก็ดูไม่อ่อนแอกลับไม่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์หลงทะนงตนเลยสักนิด

 

 

พรสวรรค์น่าอัศจรรย์ การฝึกฝนไม่อ่อนแอแต่กลับยังสามารถรักษาพื้นฐานจิตใจ ไม่หยิ่งผยองหรือหุนหันพลันแล่น

 

 

เมื่อนึกถึงข้อนี้ สายตาของฝูงชนที่มองเจียงหลีก็เปลี่ยนไป

 

 

“รู้สำนึกแล้วหรือ” เจียงหลีเก็บพลัง ยิ้มอ่อนเอ่ยถาม

 

 

เสียงร้องขอชีวิตพลันหยุดชะงัก

 

 

พวกอันธพาลพยักหน้าอย่างรู้ความราวกับไก่ที่กำลังจิกกินข้าว

 

 

“ไสหัวไป” เจียงหลีตะคอกใส่หนึ่งคำ

 

 

ฝูงชนหน้าถอดสี คำนี้คำเดียวราวกับหิมะถล่มผืนปฐพี ทรงพลังเคร่งขรึมที่ใครก็มิอาจต่อต้านหรือมิอาจลบหลู่ได้

 

 

คนที่คุกเข่าพากันตะเกียกตะกายหายไปต่อหน้าต่อตาเจียงหลี

 

 

เจียงหลียังคงยืนเอามือไพล่หลังตรงอยู่อย่างเดิม

 

 

ตัวเล็กบอบบางแต่กลับทำให้ผู้คนมองข้ามไม่ได้ง่ายๆ ขณะนั้นเองนางกลายเป็นแสงเปล่งประกายที่สุดดำรงไว้ซึ่งงานฤดูล่าสัตว์

 

 

“พรสวรรค์น่าตื่นตะลึง พื้นฐานการฝึกฝนรวดเร็ว บุคลิกกล้าหาญสุขุม อารมณ์ใจเย็นและรอยยิ้มแฝงไปด้วยพลัง แม่นางผู้นี้สามารถทะยานสู่สวรรค์ชั้นเก้าฟ้าได้แน่นอน” หรงจิ่งเอ่ยเบาๆ

 

 

เขาปกปิดความชื่นชมในใจเอาไว้ไม่มิดและไม่มีผู้ใดกล้าท้วงติงในคำพูดของเขา เพราะคุณชายท่านนี้ได้รับความเคารพเชื่อถือจากผู้คน ไม่เพียงเพราะพรสวรรค์การฝึกตนของเขาเท่านั้นแต่ด้วยเพราะสายตาคู่นั้นของเขาแหลมคมมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่งอย่างอีกด้วย

 

 

 

 

“นางไปถึงขั้นหลิงเจี้ยงแล้วจริงๆ ด้วย” มู่หว่านโหรวพึมพำออกมา

 

 

ความตกตะลึงในใจมีเพียงนางคนเดียวที่รู้ ตอนที่เจอเจียงหลีครั้งแรกการฝึกของนางพึ่งจะขั้นที่เท่าไหร่เอง ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือนนางกลับทะลุถึงขั้นหลิงเจี้ยงได้

 

 

มู่หว่านโหรวหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อก่อนนางอาจจะไม่เห็นเจียงหลีอยู่ในสายตา แต่ตอนนี้นางกลับพบว่า นางทาสตระกูลลู่คนนี้ดึงดูดความสนใจของนางสำเร็จแล้ว

 

 

“นางเก่งกาจขนาดนี้ข้าสู้นางไม่ไหวหรอก” ต่อหน้าพวกพี่สาวโจวยวนไม่มีอะไรต้องปิดบัง นางจึงเอ่ยขอร้อง “พี่ชิงเหยียน ท่านพี่ช่วยข้าสั่งสอนนางหน่อยสิเจ้าคะ”

 

 

ในที่สุดสายตาของมู่ชิงเหยียนก็ละออกจากการจ้องมองจิ่งเยี่ย

 

 

นางมองไปยังเจียงหลีที่หัวร่อต่อกระซิกกับลู่เสวียนด้วยอารมณ์ซับซ้อนอยู่บ้าง

 

 

“พี่ชิงเหยียน ท่านช่วยข้าเถิดนะ” โจวยวนแกว่งแขนของมู่ชิงเหยียนอย่างออดอ้อน

 

 

“ได้” ในที่สุดมู่ชิงเหยียนก็พยักหน้าให้กับเสียงร้องอ้อนวอนของโจวยวน

 

 

คำตอบของนางกลับทำให้โจวยวนอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากได้สติแล้วก็เผยสีหน้าดีใจออกมา

 

 

มู่หว่านโหรวมองมู่ชิงเหยียนด้วยความตกใจราวกับเป็นมีความแปลกประหลาด นี่ไม่เหมือนสิ่งที่มู่ชิง

 

 

เหยียนจะกระทำได้ แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ตอนมองไปยังไป๋หลี่เฟิ่งที่ยืนในมุมเงียบๆ ดวงตาของนางก็ประกายวูบไหวราวกับกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่าง

 

 

มู่ชิงเหยียนเดินไปยังทิศทางที่เจียงหลีอยู่ ส่วนโจวยวนก็รีบเดินตามหลังไปเช่นกัน

 

 

มู่หว่านโหรวไร้การเคลื่อนไหวแต่กลับยืนอีกด้านส่งสายตามองตามไป

 

 

แม้งานฤดูล่าสัตว์จะไม่แบ่งชนชั้น ไม่จำกัดสถานะ แต่ถึงอย่างไรมู่ชิงเหยียนก็มีสถานะเป็นองค์หญิงแล้วยิ่งโจวยวนมีสถานะเป็นจวิ้นจู่ หากพวกนางกระทำการบุ่มบ่ามจะทำให้เป็นจุดสนใจแก่สายตาผู้คนไม่น้อยทันที

 

 

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนจึงทำให้เจียงหลีหยุดสนทนากับลู่เสวียน

 

 

งานฤดูล่าสัตว์สำหรับนางถือเป็นโอกาสดีที่จำทำความเข้าใจถึงมาตรฐานศักยภาพของยุวชนในยุค

 

 

โฮ่วจิ้น ฉะนั้นนางถึงได้มา

 

 

สำหรับการแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เป็นที่ประจักษ์ท่ามกลางสาธารณะเช่นนี้นางเองก็ไม่เคยพิจารณามาก่อน

 

 

ถ้าพวกอันธพาลไม่มาหาเรื่องนาง นางก็จะไม่เปิดเผยอาณาเขตฝึกฝนของตนให้แก้ปัญหาที่ตามาภายหลัง

 

 

มู่ชิงเหยียนและโจวยวนเดินมาข้างหน้าเจียงหลีทั้งสองคน

 

 

“โจวยวน เจ้าอีกแล้วหรือ” หลังจากที่ลู่เสวียนเห็นโจวยวนจึงเผยความเหลืออดในน้ำเสียงเล็กน้อย

 

 

น้ำคำของเขาทำให้โจวยวนได้รับความสะเทือนใจแต่กลับไม่ตอบโต้ เพียงแต่อธิบายไปหนึ่งประโยค “ข้ามากับพี่ชิงเหยียน”

 

 

ลู่เสวียนมองไปยังมู่ชิงเหยียน แต่มู่ชิงเหยียนกลับจ้องไปที่เจียงหลีแทน

 

 

เจียงหลีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย โจวยวนตั้งตนเป็นศัตรูของนางอันนี้นางเข้าใจซึ่งเจ้าตัวซวยอย่างลู่เสวียนเป็นคนสร้างปัญหาเดือดร้อนให้ในคราวก่อน แต่เหตุไฉนองค์หญิงพระองค์นี้ถึงได้แสดงท่าทีเยี่ยงนี้กับนาง

 

 

ณ ที่ห่างไกล จิ่งเยี่ยเห็นมู่ชิงเหยียนยืนประจันหน้ากับเจียงหลีจึงขมวดคิ้วมุ่นแววตาพลันเย็นเยียบ

 

 

เขาเดินจ้ำอ้าวไปยังทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

“ยอมสู้กับข้าสักตั้งหรือไม่” มู่ชิงเหยียนรุกถาม

 

 

เจียงหลีกระตุกคิ้ว “เพราะอะไร”

 

 

“เพราะเขาเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมือนกัน” มู่ชิงเหยียนเอ่ยตอบ

 

 

ห้ะ?

 

 

เจียงหลีกะพริบตาปริบๆ สีหน้างุนงง เขา? เขาคนไหน ผู้ชายหรือผู้หญิง สูงหรือเตี้ย อ้วนหรือผอม สวยหรือขี้เหร่

 

 

“เริ่มกันเถอะ” ชิงเหยียนพูดง่ายเกินไปแล้ว

 

 

แต่เจียงหลีกลับยกมือห้ามไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน ท่านพูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหม เขาคนนั้นหมายถึงใคร ข้ารู้จักหรือไม่ ข้าไม่สามารถต่อสู้กับท่านเพื่อใครที่ไหนก็ไม่รู้หรอกนะ” ยุติธรรมซะที่ไหน!

 

 

“มู่ชิงเหยียน!” ขณะนั้นเองน้ำเสียงกล่าวเตือนแสนเย็นชาก็แทรกกลางขึ้นมา

 

 

การปรากฏตัวของเขาทำให้เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนหันไปมองพร้อมกัน คนอื่นก็มองตามมาที่เขาด้วย

 

 

เมื่อเห็นพี่ชายแววตาของเจียงหลีก็เป็นประกายและเข้าใจขึ้นมาทันที เชี่ยย! องค์หญิงซีสยาคงไม่ได้ชอบเจียงเฮ่าหรอกมั้ง จึ๊ๆๆ ช่างเป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ

 

 

นัยน์ตาประกายสุกใสของมู่ชิงเหยียนมองไปยังจิ่งเยี่ยไม่สนใจเสียงเตือนของเขา “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับนาง”

 

 

แววตาของจิ่งเยี่ยเฉียบคม ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูดแต่กลับถูกเจียงหลีขัดขึ้นเสียก่อน “จึ๊ๆๆจิ่งเยี่ยกลายเป็นไอ้ขี้แพ้ภายใต้เงื้อมมือข้า ไม่พอแถมยังไม่ยอมรับว่าแพ้หาผู้หญิงมาแก้แค้นข้าแทนอีกเช่นนั้นหรือ”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset