ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 171 สนามรบประจัญบาน

เจียงหลีกำลังคาดเดาฐานะของผู้มาเยือนอย่างจริงจัง เพราะคำพูดเดียวของลู่เสวียนทำเอาแทบจะล้มจากหลังม้า

 

 

“หุบปาก” นางหันขวับจ้องลู่เสวียนอย่างดุดัน

 

 

ลู่เสวียนหดคอลงเหมือนกลัวสายตาดุร้ายของนาง แต่ว่าความสนใจของเขาก็ถูกกองทหารที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เจียงหลีหันสายตากลับมามองไปยังกองทหารที่ผ่านฝุ่นทรายออกมา

 

 

เกราะทองแดงทำให้ความสง่าที่ดุดันของกองทัพรวมเป็นหนึ่ง คนแรกที่เดินนำหน้าสวมชุดเกราะสีทอง ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเหล็ก เหลือเพียงนัยน์ตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว แววตาที่นิ่งสงบจ้องไปยังกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคน

 

 

ภายใต้สายตาของเขาคำพูดที่จงใจยั่วยุค่อยๆ เงียบสงบลง

 

 

ปกติเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายจะรู้สึกว่าตนเหนือกว่าคนอื่น ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเขา คนส่วนใหญ่ต่างพากันก้มห้วลงอย่างอัตโนมัติไม่กล้าสบตาแม้แต่น้อย

 

 

“ช่างเป็นแววตาที่เฉียบคมนัก” เจียงหลีเพ่งมองเขาพลางชื่นชมในใจ

 

 

ผู้นำขบวนผงะแล้วรีบควบม้ามาถึงหน้าชายหนุ่มที่เสมือนเทพบุตรจุติแล้วคารวะอย่างนอบน้อม

 

 

“ท่านลู่อ๋อง มิบังอาจให้ท่านออกมาต้องรับขอรับ”

 

 

น้ำเสียงประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เพียงแต่ว่าเป็นการประจบประแจงที่แสดงออกนอกหน้าเท่านั้น

 

 

แววตาภายใต้หมวกเหล็กนั้น กวาดมองผู้นำขบวนอย่างเรียบๆ ทำให้ผู้ถูกมองเหมือนถูกมีดแหลมคมจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวถึงกับกลั้นลมหายใจ “ในกองทัพไม่มีท่านอ๋อง เรียกข้าว่าแม่ทัพก็พอ” เสียงลู่ซิ่งเฉาไม่ได้ชัดเจนมาก อาจเป็นเพราะว่าการฝึกฝนในกองทัพ ทำให้เสียงเขามีความแหบแห้งแต่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น

 

 

“ขอรับๆ ท่านแม่ทัพ” ผู้นำขบวนคล้อยตาม เปลี่ยนคำพูดทันที

 

 

ราวกับว่าเขาเองก็ไม่อยากล่วงเกินผิดใจกับลู่ซิ่งเฉาที่ชายเป่ยฝางแห่งนี้

 

 

“ท่านพ่อ…” เสียงพึมพำสั่นคลอนของลู่เสวียนดังขึ้นข้างหูเจียงหลี

 

 

นางรับรู้ความตื้นตันใจที่ซ่อนอยู่ แววตากวาดมองเด็กหนุ่มรูปงามข้างกาย เห็นเขาพยายามระงับอารมณ์ของตน

 

 

ราวกับว่าสัมพันธ์ถึงสายตาที่พินิจพิเคราะห์ของนาง มุมปากลู่เสวียนยกขึ้นอย่างขมขื่น อธิบายเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้เจอท่านพ่อมาหลายปีแล้ว”

 

 

ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นมีกฎอยู่ว่าทหารรักษาการณ์หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ไม่สามารถไปจากที่ประจำการได้หรือกลับเข้าวังได้ หากขัดต่อคำสั่งจะถูกลงโทษในฐานะกบฏ

 

 

ลู่ซิ่งเฉาประจำการที่ชายเป่ยฝางเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว แต่เขากลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่แปลกที่ลู่เสวียนจะเกิดปฏิกิริยาแบบนี้

 

 

เจียงหลีก้มหน้าลงเข้าใจเป็นอย่างดี

 

 

ขณะเดียวกันนางก็นึกถึงลู่เจี้ยที่พักฟื้นที่ซูหนานอย่างโดดเดี่ยว เขาไม่ได้เห็นพ่อตัวเองมานานแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่

 

 

อาจเป็นเพราะสาเหตุของสองพี่น้องนี้ เจียงหลีเกิดความอยากรู้อยากเห็นใบหน้าภายใต้หมวกเหล็กนั้น

 

 

กลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียว เกือบทุกคนต่างพากันหวาดกลัวรัศมีที่แผ่ออกมาของลู่ซิ่งเฉา ผู้นำขบวนเองก็แสดงสีหน้าที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน แนะนำให้รู้จักสภาพของกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียว

 

 

ทว่าพูดไปไม่กี่คำ ลู่ซิ่งเฉายกมือขึ้นมากระทันหันหยุดคำพูดของเขาที่จะพูดออกมา

 

 

เขากุมบังเ**ยนในมือขี่ม้าใกล้เข้ามามากกว่าเดิม

 

 

ความกดดันรัศมีที่แผ่ออกมา ทำให้ม้าของเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายขี่อยู่เกิดความโกลาหล

 

 

“ห้ะ!”

 

 

ทันใดนั้นกลุ่มคนติดตามลู่ซิ่งเฉามาตะโกนขึ้นพร้อมกัน

 

 

ท่ามกลางค่ายม้าที่อยู่ไม่นิ่งก็เงียบสงบลงฉากน่าทึ่งแบบนี้ทำให้เหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายต่างประหลาดใจและสงสัย

 

 

ผู้เป็นหัวหน้าขบวนกลับจับจ้องไปปยังแผ่นหลังลู่ซิ่งเฉาด้วยแววตายากจะเข้าใจ

 

 

“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าที่อยู่เมืองหลวงจะมีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน ยิ่งไม่สนว่าพวกเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอย่างไร เมื่อมาถึงสนามรบ พวกเจ้าก็เป็นทหารของราชวงศ์โฮ่วจิ้น แน่นอนว่าพวกเจ้าตอนนี้เป็นแค่กลุ่มสังเกตการณ์ ข้าไม่ให้พวกเจ้าเข้าสนามรบอย่างแท้จริง แต่หากพวกเจ้าฝ่าฝืนวินัยในค่ายทหาร ข้าจะลงโทษตามกฎ ไม่ว่าใครจะมีภูมิหลังอย่างไร ข้าจะปฎิบัติเท่าเทียมกันทุกคน กฎหมายไม่ปราณีใคร”

 

 

คำพูดของลู่ซิ่งเฉาทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนมีเครื่องประหารหัวที่มองไม่เห็นแขวนอยู่บนคอของกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลาย

 

 

บางคนที่มีนิสัยหัวร้อนเตรียมจะตอบโต้ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกองทัพที่ยืนสง่าผ่าเผยกลับหมดความมั่นใจ

 

 

เจียงหลีที่เงียบมาตลอดในใจกลับมีมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง ลู่ซิ่งเฉานี้ ก็มีฝีมือในการฝึกทหาร แม้ว่าการฝึกแถวทหารจะง่ายดาย แต่จะทำให้จิตเป็นหนึ่งเดียวกันมันยากนัก กองทัพเหล่านี้ หากนับพรสวรรค์แบบคนต่อคน เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้กับเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวทั้งหลายได้ ทว่ารัศมีบนตัวพวกเขากลับบดขยี้ผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวจนสุด

 

 

จู่ๆ นางก็หันสายตามองไปยังพี่ชายที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน นางรู้ว่าความฝันของพี่ชายนอกจากเข้าไปศึกษาที่สานบันไป๋หยวนแล้วยังอยากจะเข้าเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติอีกด้วย

 

 

ลูกผู้ชายต้องเข้าสนามรบนองเลือดเพื่อปกป้องบ้านเมือง นี่เป็นคำพูดที่เจียงเฮ่าที่เคยกล่าวไว้ เขาในตอนนั้นช่างมีจิตใจทีกระฉับกระเฉงดูมีชีวิตชีวา ถูกเจียงหลินเฟิงสั่งสอนรักชาติซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้

 

 

ปัจจุบัน หลังสกุลเจียงได้ประสบเรื่องร้ายแรง เกรงว่าความคิดที่อยากจะเข้าเกณฑ์ทหารคงจะดับลงแล้วกระมัง

 

 

เจียงหลีหาเจียงเฮ่าเจออย่างง่ายดาย ใบหน้าที่เป็นจิ่งเยี่ยยังคงความสงบเย็นชาไว้ ทว่านัยน์ตาลึกนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยไฟที่ลุกโชนที่ยังไม่ดับหายไป ปณิธานที่มีต่อสนามรบ ราวกับถูกลู่ซิ่งเฉาปลุกขึ้นมา

 

 

“กลับค่าย!” ลู่ซิ่งเฉาออกคำสั่งกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคนเดินตามหลังมุ่งหน้าสู่ค่ายทหารชายเป่ยฝาง

 

 

ระหว่างทางเจียงหลีกระซิบเสียงต่ำถามลู่เสวียนว่า “ทำไมเมื่อครู่เจ้าไม่ก้าวออกไปล่ะ”

 

 

ลู่เสวียนส่ายหัวยิ่มอย่างขมขื่น “ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อรู้ว่าข้าก็มาด้วย เพียงได้เห็นเขาไกลๆ ข้าก็พอใจแล้ว”

 

 

เจียงหลียิ้มอย่างเย็นชาทุบความเพ้อเจ้อของเขาให้แตกสลาย “รายชื่อผู้ติดตามก็จะส่งไปที่เขาด้วย”

 

 

ว่าแล้ว ลู่เสวียนกระตุกมุมอย่างแรงยิ้มแห้งๆ ฝืนพูดต่อ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที”

 

 

 

 

เดิมทีเจียงหลีนึกว่าพวกเขาจะถูกนำไปที่ทัพหลังพร้อมจัดเตรียมให้พักผ่อนก่อนหนึ่งวัน

 

 

แต่ยังไม่ทันได้เห็นว่าแม่ทัพหน้าตาเป็นอย่างไรก็ถูกนำตัวไปที่แถวหน้าบนแนวกำแพงเสียแล้ว

 

 

การจะขึ้นกำแพงต้องเดินผ่านค่ายผู้บาดเจ็บ เมื่อเห็นเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแขนขาดขาบาดบ้าง มีเนื้อและเลือดโชกบ้าง เสียงร้องโหยหวนทำเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวหน้าซีดเซียวลง

 

 

ควันไฟแห่งสงครามแผ่ทั่วสารทิศดำโขมงโฉงเฉง เสียงเข่นฆ่าโรมรันเหมือนจะทะลุผ่านกำแพง

 

 

ความสันติภาพและสงครามห่างกั้นแค่ระหว่างกำแพง

 

 

ในที่สุดเหล่าผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวนับพันคนมาถึงรั้วกำแพง เห็นสนามรบที่อยู่นอกกำแพง…สิ่งที่เห็นคือการสู้ตายเสียสละเลือดเนื้อของสองกองทัพเมื่อปะทะกัน ทำให้ทะเลทรายนองไปด้วยเลือด

 

 

ตู้มมม!

 

 

ภาพที่เข่นฆ่ากันตรงหน้าทำให้เจียงหลีรู้สึกตกตะลึงไปทั้งตัว

 

 

นางเบิกตากว้างภาพที่เห็นคือทองทัพสองฝ่ายตั้งป้อมคุมเชิงประจันหน้ากัน ในใจเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง กู่อูกั๋วของนางมีฐานะที่พิเศษในเมืองหลินชวน ไม่เคยเกิดศึกสงครามที่ใหญ่โตเฉกเช่นนี้มาก่อน

 

 

ณ วินาทีนั้นเหมือนเลือดเดือดพล่านในร่างถูกจุดขึ้นมา

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset