ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 188 จัดการผู้ที่จองหองนั่นซะ

เสียงรถม้าที่เคลื่อนไปบนพื้น ทำให้เจียงหลีต้องหันไปมอง  

 

 

แต่ไม่คิดว่าหลังจากที่นางได้มองเห็นภายนอกอย่างชัดเจนแล้ว ความประหลาดใจก็แผ่ซ่านไปทั่วดวงตาของนาง นางรู้จักสองคนที่ผลักรถสองล้อธรรมดามานั้น   

 

 

พวกเขาคือพี่น้องฝาแฝดที่จวนตระกูลลู่มอบให้แก่นาง อวี้ซูและอวี้เฉิน  

 

 

พวกเขามาทำอะไรที่นี่  เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจ  

 

 

แต่ในไม่ช้า นางก็มองไปที่ศพทั้งสองที่แขวนอยู่เหนืออู่เหมิน และนางก็เข้าใจ  

 

 

“เจียงหลีเจ้าปล่อยข้าไป มิฉะนั้นข้าจะต้องเจ็บปวดจนถึงตาย” ลู่เสวียนไม่ทันได้สนใจพี่น้องทั้งสองที่อยู่ข้างนอก แต่กลับวิงวอนเจียงหลีอย่างขมขื่น  

 

 

เจียงหลีมองย้อนกลับไป และดวงตาที่สดใสเผยให้เห็นความสงบที่ไม่ตรงกับอายุของเขา “เจ้าไม่ได้เรียกข้าว่าอาซ้อหรอกหรือ ในขณะนี้พี่สะใภ้ก็เหมือนเป็นแม่ เจ้าจะต้องฟังข้า”  

 

 

!  

 

 

ลู่เสวียนผงะไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้า จะพูดจาอะไรแบบนี้  

 

 

“พวกเราจะเอากระดูกของลู่อ๋องและพระชายาลู่กลับคืนมาอย่างแน่นอน แต่เราวู่วามตอนนี้ไม่ได้ อวี้ซูและอวี้เฉินอยู่ข้างนอก จุดประสงค์ของพวกเขาคือการรวบรวมซากศพ ให้คอยดูเหตุการณ์อย่างอดทนไปก่อน และลงมือเมื่อมีโอกาส” เจียงหลีลดเสียงที่พูดกับลู่เสวียนลง  

 

 

หลังจากฟังนางพูดจบ ลู่เสวียนก็บังคับตัวเองให้อดทนต่อความเจ็บปวดจากหัวใจที่แตกสลาย และในที่สุดก็สงบลง  

 

 

ในเวลานี้ เขาสังเกตเห็นพี่น้องสองคนที่กำลังไปที่อู่เหมินด้วยท่าทีอาการที่ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีความหยิ่งยโส หรือเอาแต่ใจ เขามองไปที่อวี้ซูและอวี้เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน และรู้สึกถึงความหนักแน่นของการก้าวเดิน น้ำตาคลอเบ้า “พวกเขายังคงภักดี”  

 

 

ตระกูลลู่ประสบหายนะครั้งนี้ กระดูกของนายท่านและนายหญิง หากแม้ไม่มีผู้ใดเก็บ ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวหาอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีภัย ต่างคนต่างแยกย้ายหนี ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์  

 

 

แต่ไม่คาดคิดว่า เด็กสองคนนี้ที่เป็นเพียงเด็กทั้งสองอายุไม่มากจะกล้ามาที่นี่ พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ของเจียงหลีมานาน และพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่แล้ว  

 

 

“หยุด!” ผู้ที่เฝ้าอู่เหมินตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นใคร”  

 

 

อวี้ซูและอวี้เฉินหยุดลง หลังจากยันรถไม้สองล้อแน่นแล้ว จากนั้นก็มองไปที่ผู้คุมอย่างเปิดเผย  

 

 

“ข้าและน้องชายต่างก็เป็นคนรับใช้ของตระกูลลู่ วันนี้นายท่านและนายหญิงสิ้นบุญแล้ว พวกข้าสองพี่น้องทนไม่ได้กับศพของพวกท่านที่ต้องทิ้งไว้ภายนอก จึงมาที่นี่เพื่อเก็บศพ” อวี้ซูพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีความกลัว  

 

 

แม้นางจะอยู่ในเวลาที่ยากลำบาก ความกล้าหาญที่แสดงออกนี้ ทำให้เจียงหลีชื่นชมเป็นอย่างมาก มองไปที่อวี้เฉินอีกครั้ง เขายืนอยู่ข้างพี่สาวของตน ด้วยดวงตาคู่นั้นที่แน่วแน่และไม่ขลาดกลัว  

 

 

 “พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลลู่หรือ” หลังจากฟังอธิบายของทั้งสองแล้ว สายตาของผู้คุมอู่เหมินก็เปลี่ยนไป  

 

 

เจียงหลีได้ยินประโยคนี้ในที่ลับ แววตาก็เปลี่ยนไปและกระซิบว่า  แย่แล้ว!   

 

 

น่าเสียดาย ที่นางต้องซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำให้เตือนอวี้ซูและอวี้เฉินไม่ทัน   

 

 

หลังจากนั้น ก็มีเสียงเกราะเสียดสีกันจากทั่วทุกมุม ทหารหลายร้อยนายก็ปรากฏตัวขึ้นที่อู่เหมิน โดยถือคันธนูที่แข็งแกร่ง ลูกศรที่ส่องแสงเล็งไปที่สองพี่น้องที่อยู่ด้านล่างของเมือง  

 

 

“ที่แท้ก็มีการซุ่มโจมตี!” เมื่อเห็นฉากนี้ ลู่เสวียนกัดฟันแน่น เขามองดูพี่น้องทั้งสองที่อยู่ข้างนอกและพูดอย่างกังวลว่า “พวกเขามาที่นี่เพื่อท่านพ่อท่านแม่ ข้าไม่อาจทนเห็นพวกเขาตายโดยไม่ช่วยเหลือ”  

 

 

“เหลวไหล พวกเขาเป็นคนของข้า” เจียงหลีมองไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว “ไม่เพียงต้องช่วยชีวิตพวกเขา แต่กระดูกของผู้อาวุโสทั้งสองก็จะต้องนำกลับไปด้วย”  

 

 

 “แค่เจ้ากับข้าสองคนหรือ” ลู่เสวียนมองดูตัวเองและมองไปที่เจียงหลี  

 

 

เจียงหลีเหลือบมองเขาและหัวเราะ “ใจเย็นลงแล้วหรือ”  

 

 

ลู่เสวียนรู้สึกอับอาย แต่ความเศร้าจากการสูญเสียท่านพ่อท่านแม่ในสายตาของเขายังคงยากที่จะลบเลือน  

 

 

“ดูไปก่อน” เจียงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้ม ตาจ้องมองไปที่เหตุการณ์ภายนอก  

 

 

นางต้องมองให้ชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เสียก่อน จึงจะคิดหาวิธีในการรับมือ  

 

 

ณ ขณะนี้ อวี้ซูและอวี้เฉินถูกล้อมไว้ทุกด้าน หากพวกเขาขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ก็จะมีลูกศรนับร้อยพร้อมยิงไปที่สองคนนั้น  

 

 

แต่ทว่า พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังรอใครบางคน  

 

 

แน่นอนว่าใช้เวลารอไม่นาน ที่ชั้นบนของอู่เหมิน ชายร่างสูงและกำยำก็ได้เดินออกมา เขาสวมเสื้อคลุมผ้าสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์โดยสวมมงกุฎและหมวกไว้ด้วยความทรงพลังมิธรรมดา  

 

 

“คือรัชทายาท มู่สิงโจว!” แม้อยู่ในที่มืด ลู่เสวียนจ้องมองไปตรงคนที่ยืนอยู่ สายตาของเขาหรี่ลง “เขาเป็นลำดับสามของสิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวง การฝึกฝนก็ไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยก็ไกลเกินกว่าเจ้าและข้าทั้งสองคนเสียด้วยซ้ำ”  

 

 

รัชทายาท!  

 

 

ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลง  

 

 

เกี่ยวกับข่าวลือของรัชทายาทองค์นี้ นางมีคำอธิบายบางอย่างในความทรงจำเดิม อย่างไรก็ตามแต่ รัชทายาทองค์นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษและมีเงื่อนไขเฉพาะตั้งแต่แรกเกิด เสด็จแม่ของเขาไม่เป็นที่โปรดปรานของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ไม่มีผู้ที่ดีกว่าเขาให้เลือก ตำแหน่งรัชทายาทจะไม่ตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน  

 

 

 “ลำดับสามของสิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวง คือผู้ที่เป็นหลิงเจี้ยงถึงระดับหกหรือระดับที่เจ็ดแล้ว” เจียงหลีวิเคราะห์การฝึกฝนของมู่สิงโจวทันที  

 

 

ลู่เสวียนเม้มริมฝีปากและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “วิธีการของเขาโหดร้ายและบ้าอำนาจมาก การที่เราคิดจะเอาท่านพ่อท่านแม่ไปจากเขานั้นมันยากมาก”  

 

 

“ยากหรือ” เจียงหลีหัวเราะเยาะขณะที่เม้มริมฝีปาก “จัดการผู้องอาจลำดับสามเสียก็สิ้นเรื่อง”  

 

 

 “…” ลู่เสวียนมองนางด้วยความตกใจ  

 

 

ดูเหมือนว่านางจะพูดล้อเล่น แต่เมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่จริงจังของเจียงหลี เขาก็รู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน  

 

 

ระดับปัจจุบันของเจียงหลีคือเท่าไหร่กัน หลิงเจี้ยงระดับสอง? นางจะต้องอยู่เกินกว่าระดับที่สี่หรือห้าเพื่อจะฆ่าคนคนนี้มิใช่หรือ  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากมู่สิงโจวแล้ว ยังมีองครักษ์ชั้นยอดอีกหลายร้อยคน ซึ่งคนทั้งหมดนี้อยู่ในระดับสูงสุดของหลิงซื่อ และบางคนเป็นถึงขั้นหลิงเจี้ยงในระดับต้นด้วย  

 

 

“ข้ายังไม่เชื่อว่าพี่ชายของเจ้า จะไม่มีการเตรียมการไว้” เจียงหลีหรี่ตาและบ่นพึมพำ  

 

 

แต่ลู่เสวียนได้ยินคำพูดของนางไม่ชัดเจน จึงถามอีกครั้งว่า “เจ้าว่าอะไรนะ”  

 

 

น่าเสียดายที่เจียงหลีจะไม่พูดซ้ำ “ไม่มีอะไร”  

 

 

มู่สิงโจวมองไปที่อวี้ซูและอวี้เฉินอย่างไม่แยแสและพูดช้าๆ ว่า “รัชทายาทเยี่ยงข้ามาตกปลาด้วยตัวเอง แต่กลับจับได้แค่ปลาตัวเล็กสองตัวรึ”  

 

 

อวี้เฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย และขยับตัวเข้าไปใกล้พี่สาว  

 

 

อวี้ซูกลับเงยหน้าขึ้นและมองไปที่มู่สิงโจวอย่างกล้าหาญ “องค์รัชทายาท ผู้วายชนม์สำคัญยิ่ง หากผิดพลาดเรื่องบุญคุณความแค้นประการใด นายท่านและนายหญิงของข้าได้ตายจากไปแล้ว รัชทายาทได้โปรดทรงเมตตาและยอมให้พวกเรานำเอากระดูกของพวกเขาไปฝังด้วยเถอะเพคะ”  

 

 

มู่สิงโจวยิ้มเยาะ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ปลาตัวเล็กอย่างไรก็เป็นปลา ฆ่าพวกมันซะ”  

 

 

เมื่อเขาประกาศิต ลูกศรที่ติดอยู่บนเชือกก็กลายเป็นแสงเย็นพุ่งเข้ามาหาพี่น้องทั้งสอง สองพี่น้องนี้ยังไม่มีการเบิกเนตรญาณ จะมีปัญญาที่ไหนไปต่อสู้เขาได้  

 

 

โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบโต้ของอวี้ซูไม่เชื่องช้า นางยกรถเข็นขึ้นเพื่อป้องกันลูกศร  

 

 

แน่นอนว่ารถเข็นไม้บอบบางเช่นนี้จะปิดกั้นลูกศรที่ยิงโดยหลิงซื่อเหล่านี้ได้อย่างไร  

 

 

ตู้ม!  

 

 

รถเข็นไม้สองล้อก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตามขอบลูกศรและแหลกออกเป็นชิ้นๆ  

 

 

ลูกศรเหล่านั้นยังคงยิงไปที่สองพี่น้องอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขากำลังจะถูกฆ่า ทันใดนั้นแสงสีทองก็พุ่งตรงลงมา ภายในแสงสีทองก็ปรากฏร่างที่สูงยาวสวมชุดเกราะ เพื่อปิดกั้นการยิงของลูกธนูด้วยหลังของตัวเองและปกป้องสองพี่น้องเอาไว้ในอ้อมแขน…  

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset