ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 19 เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ

ถึงกระนั้นหม่าหยวนจย่าก็ยังไปส่งเจียงหลีถึงบริเวณสวนหน้าจวนก่อนแล้วจึงจากไป  

 

 

นอกจากนี้ ก่อนจากไป เขายังกล่าวอีก เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นผู้อารักขาของเจียงหลี ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่ห่างนางได้ไกลนัก เขาจะย้ายมาอาศัยอยู่บริเวณสวนหน้าเรือน เพื่อสะดวกต่อการเรียกใช้ของนาง  

 

 

ทุกสิ่งที่เขากล่าวมา เจียงหลีรู้สึกว่าเป็นการจับตามองนาง ในเมื่ออยู่บ้านท่าน นางก็ไม่มีอะไรจะกล่าว ได้แต่ยอมรับการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ  

 

 

เจียงหลีนั่งขัดสมาธิบนเตียง หวนคิดความรู้สึกของการปลุกเนตรญาณก่อนหน้านี้ ขณะนั้น นางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย กระตุ้นวิญญาณที่ยังไม่ได้ดูดกลืนจนสิ้น ดังนั้น นางจึงรู้สึกกระวนกระวาย เพราะไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับพลังเนตรญาณอย่างลึกซึ้ง เจียงหลีสงบจิต หวนคิดถึงความรู้สึกเดิม เพื่อไปรับรู้พลังเนตรญาณที่ถูกปลุกแล้ว  

 

 

นางในเวลานี้ ยังไม่รู้กฎการใช้พลังเนตรญาณเลยไม่รู้ว่าต้องฝึกฝนอย่างไร สำหรับเรื่องนี้ นางไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรมาก ลู่เจี้ยคาดหวังให้เย่ว์หนานซีแพ้มากกว่านางเสียอีก ในเมื่อเขาได้จัดเตรียมทุกอย่างแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมาก  

 

 

เมื่อเจียงหลีเข้าถึงอาณาบริเวณ ตัวนางมีแสงสีทองขึ้นอีกครั้ง  

 

 

แสงสีทองรวมตัวกัน วงแหวนสีทองที่สดใสแต่ละวงวนอยู่รอบตัวนาง ล้อมนางไว้ตรงกลาง แสงสีทองชุบตัวบนผิวของนาง ราวกับเป็นการเผยตัวตนที่แท้จริง ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ก็ได้กลายเป็นเข้มขรึมขึ้นมาในชั่วขณะ  

 

 

ทันใดนั้น เจียงหลีลืมตาขึ้น ดวงตาของนางถูกส่องด้วยแสงสีทอง เปล่งแสงประกายสีทองอ่อนๆ คล้ายคลึงกับตัวเองในอดีต  

 

 

“วงแหวนเก้าวง! เนตรญาณทั้งเก้าเปิดออกโดยไม่คาดคิด” เจียงหลีตกใจ  

 

 

เจียงหลีจำคำพูดของลู่เจี้ยได้ ผู้ที่มีเนตรญาณเก้าดวง สามารถสมญานามว่าเป็นพรสวรรค์จากฟากฟ้า และในวันนี้ นางกลับมีเนตรญาณเก้าดวง   

 

 

ถ้าเช่นนั้น…  

 

 

ทันใดนั้น นางรู้สึกคาดเดาเจตนาของลู่เจี้ยไม่ได้  

 

 

หม่าหยวนจย่า นอกจากคอยเป็นหูเป็นตาให้เขาแล้ว เป็นไปได้ว่าจะเป็นการบอกใบ้ของลู่เจี้ยรึไม่ ผู้ที่มีเนตรญาณเก้าดวง สมควรได้รับการให้ความสำคัญ และมีคุณค่าที่ไม่สามารถประเมินค่าได้! ดังนั้น เขาให้ผลประโยชน์กับตัวเอง เพื่อให้นางตายใจและยอมเสียสละเพื่อเขางั้นหรือ  

 

 

ช้าก่อน!  

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วเบาๆ น่าจะไม่เพียงเท่านี้! เนตรญาณทั้งเก้า น่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เรียกตัวหม่าหยวนจย่าไป  

 

 

แต่ว่าพรสวรรค์เช่นนี้ของนาง ถ้าถูกเปิดเผยออกไป อาจจะนำมาซึ่งปัญหาได้ ตระกลูลู่ที่แต่เดิมก็ถูกฮ่องเต้เพ่งเล็งอยู่แล้ว ยิ่งมีทาสหญิงที่มีเนตรญาณเก้าดวงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหาต่อตระกลูลู่ แต่ยังจะเป็นปัญหาต่อนางด้วย เช่นนั้น น่าจะต้องกำจัดหม่าหยวนจย่าทิ้งเสีย  

 

 

ลึกเข้าไปในดวงตาของเจียงหลี แสดงถึงเจตนาฆ่า แต่ว่า หม่าหยวนจย่ากลับไม่ตาย และยังถูกส่งมาข้างกายนาง นี่ก็แสดงว่า คนผู้นี้ไม่โง่ ต้องเป็นเพราะอะไรบางอย่าง จึงทำให้ลู่เจี้ยไม่ได้ฆ่าปิดปากเขา   

 

 

ทว่าลู่เจี้ยให้เขามาอยู่ข้างตัวนาง นั่นน่าจะหมายความเช่นไร  

 

 

นอกจากเป็นหูเป็นตาและเอาใจนางแล้วยังมีสิ่งใดอีก เจียงหลีรำพึงในใจ นางสังเกตุว่าลู่เจี้ยคนนี้ ทุกครั้งที่พบเจอกับเขา ต้องให้นางได้ครุ่นคิดถึงการกระทำและวาจาของเขาเสมอ  

 

 

“…” หลังจากที่เงียบไป เจียงหลีมีความรู้สึกบางอย่าง นางกล่าวกับตนเองว่า “ให้หม่าหยวนจย่าอยู่ข้างกายข้า อย่างนั้นก็แปลว่า ความเป็นความตายของเขาอยู่ในมือข้า เช่นนั้น การฆ่าเขาเพื่อรักษาความลับ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ว่า ข้าในตอนนี้สามารถฆ่าเขาได้หรือ เขาไม่ใช่คนที่ถูกเลี้ยงจนนิสัยเสียของตระกลูเย่ว์คนนั้น เป็นถึงระดับผู้อารักขาระดับสาม ความเป็นความตายที่เคยพบเจอ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เย่ว์หนานซีจะเปรียบได้ ถ้าฆ่าไม่ได้ ก็ทำได้เพียงให้เขาอยู่ข้างกาย รอให้ข้ามีความสามารถมากพอในการฆ่า ค่อยฆ่าเมื่อนั้นก็ยังไม่สาย!หรือหากพบว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้ ก็ยังสามารถเลี้ยงจนกลายเป็นคนสนิทได้”   

 

 

เจียงหลีตาสว่าง เข้าใจแล้ว “ช่างคาดเดาง่ายเสียจริง” นางรู้ถึงเจตนาของลู่เจี้ยแล้ว การมอบคนที่สมควรตายให้กับนาง และก็เป็นการทดสอบนางด้วย ที่ส่งคนโปรดปรานให้เพื่ออยากจะรู้ว่านางจะจัดการกับเรื่องแบบนี้เช่นไร ประมาทจากเรื่องเล็กน้อยนี้ไม่ได้เด็ดขาด จากเรื่องนี้ ลู่เจี้ยก็สามารถเข้าใจได้ว่านางเป็นคนที่อดทน มีวิสัยทัศน์ มีมันสมองหรือไม่!  

 

 

“ลู่เจี้ยพ่อคนดี นายน้อยเจ้าเสน่ห์” น้ำเสียงของเจียงหลีเย็นชา แฝงไปด้วยความโกรธ และความชื่นชม   

 

 

นางเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายอย่างแจ่มแจ้งแล้วจะไม่เดินตามสิ่งที่อีกฝ่ายคาดหวังได้เยี่ยงไร กระดานนี้ของลู่เจี้ย ไม่มีแม้แต่โอกาสในการตัดสินใจให้กับผู้อื่น   

 

 

เจียงหลีสูดลมหายใจเข้า เพื่อบรรเทาจิตใจที่ถูกลู่เจี้ยทำให้กริ้วโกรธ  

 

 

ทันใดนั้น นางขยิบตาเพ่งมอง เนตรญาณทั้งเก้าที่ล้อมรอบตัวนางไว้ นอกจากเนตรญาณทั้งเก้าแล้ว ยังมีแสงสลัวๆ เป็นวงแวนสีเทาที่ยากจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าห่อหุ้มนางไว้  

 

 

“นี่มันอะไร เป็นเนตรญาณด้วยหรือ ถ้าหากว่าเป็นเนตรญาณ อย่างนั้นข้าก็ไม่ได้มีเพียงเก้าดวง แต่มีเนตรญาณสิบดวงน่ะสิ”  

 

 

เจียงหลีสูดลมหายใจขึ้น และตกใจจนตาโต  

 

 

เนตรญาณสิบดวง!  

 

 

เนตรญาณสิบดวง!  

 

 

เจียงหลีตกใจจนสมองว่างเปล่าไปหมด  

 

 

ถ้าหากเป็นเนตรญาณสิบดวงจริง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหมายความว่าอย่างไร ทันใดนั้น ในหัวของนาง เหมือนมีเข็มทิ่มแทง นางร้องเสียงดัง กอดหัวโน้มลงบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมา  

 

 

“ปวดเหลือเกิน”  

 

 

เนตรญาณในร่างของนางหายไป ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน  

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้เจ็บปวดอย่างกะทันหันเช่นนี้ ราวกับว่าวิญญาณโดนดูดออกจากร่างไป ประหนึ่งเลือดเนื้อถูกแยกออกจากกัน ปวดจนอยากร้องขอความตายเสียให้สิ้นเรื่อง   

 

 

เจียงหลีหดตัวแน่นเป็นกลุ่มก้อน มีไอเย็นระเหยออกมาจากตัว ภายนอกผิวของนาง ราวกับห่อด้วยแผ่นน้ำแข็ง แขนขานางสั่นไม่หยุด  

 

 

ทันใดนั้น สติของนางถูกดึงเข้าไปในภาพเสมือนที่พร่ามัว  

 

 

นางเห็นพลังที่ไม่อาจดูดกลืนเปล่งแสงริบหรี่ในที่มืดกะพริบอยู่ตลอดเวลา มีแสงส่องออกมาจากพลังนั้นเจาะเข้าที่กลางคิ้วของนางอย่างไม่คาดคิด  

 

 

ทันใดนั้น ข้อมูลที่ล้นฟ้าทลายดินได้กระจายไปตามจิตใต้สำนึกของนาง  

 

 

เพียงแต่ ความเจ็บปวดของร่างกายราวกลับไม่มีวันหยุดนิ่ง  

 

 

เจียงหลีเจ็บจนเป็นลมหมดสติ แต่ก็เจ็บจนตื่นขึ้นมา ภายในสมองของนางยังไม่หยุดรับข้อมูลเหล่านั้น   

 

 

ขณะเดียวกัน ในเมืองซูหนาน สองแม่ลูกเหอซื่อที่ถูกตระกูลเย่ว์ขับไล่ไป ยังมีเจียงอวี๋ที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง  

 

 

“ท่านแม่ เราควรจะทำเช่นไรดี ข้าต้องคิดหาวิธีพบพี่หนานซี เพื่อให้เขารับพวกเรากลับไป” เจียงอวี๋  

 

 

กล่าวด้วยน้ำตา  

 

 

แววตาของนางเหอซื่อแฝงไปด้วยความกริ้ว “เรื่องของตระกูลเย่ว์ ก็หยุดเพียงเท่านี้เถอะ พรุ่งนี้เราก็จะไปจากที่นี่”  

 

 

“ไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ” เจียงอวี๋ร้องด้วยความตกใจ  

 

 

เหอซื่อมองไปที่นางแล้วถาม “ลูกเอ๋ย เจ้าอยากอยู่ในขั้นสูงกว่าเจียงหลีที่ถูกผู้คนเหยียดหยาม หรือว่าต้องการเย่ว์หนานซี”  

 

 

เจียงอวี๋เงียบไป ก็จริงอยู่ที่นางชอบเย่ว์หนานซี แต่สิ่งที่นางต้องการคืออยากจะมีชิวตที่สุขสบายกว่าเจียงหลี ที่เจียงหลีไม่อาจเอื้อมถึง  

 

 

“ฟังคำพูดของแม่เถอะ แม่หวังดีต่อเจ้า รุ่งขึ้นพวกเราก็จะไปจากที่นี่ ไปยังเมืองไป๋ลู่ ได้ยินว่า เทียนเจียว ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ของที่นั่น ไม่ได้แย่ไปกว่าของตระกูลเย่ว์ หรือแม้กระทั่งมีคนที่มีฐานะเบื้องหลังที่ดีกว่า คนสวยเฉกเช่นเจ้า ต้องเป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน แล้วจะไปคิดถึงเจ้าเย่ว์หนานซีทำไม” นางเหอซื่อเกลี้ยกล่อมลูกสาว  

 

 

เจียงอวี๋เม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็พยักหน้า “ลูกจะยอมฟังคำพูดของท่านแม่”  

 

 

ภายในเรือน เจียงหลีที่สลบแล้วฟื้นไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งไม่รู้ถึงความนึกคิดของเหอซื่อสองแม่ลูก ในที่สุด เจียงหลีที่ตื่นมาจากความรู้สึกที่เหมือนรอดตาย ใบหน้าของนางแห้งเ**่ยว แต่กลับส่งเสียงทุ้มกระซิบ   

 

 

“เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ”  

 

 

ช่างน่าเสียดายที่…  

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset