ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 20 ถ้ำปีศาจทั้งเก้า และลู่จ้านผู้บ้าบิ่น

 

 

 

ช่างน่าเสียดายที่…  

 

 

เปิด! ไม่! ออก!  

 

 

แกร็ก!  

 

 

เจียงหลีเผลอกัดฟันจนแทบแหลก  

 

 

อะไรคือการขึ้นเขาสมบัติแล้วไม่ได้สิ่งใดกลับมา นางได้สัมผัสแล้วอย่างแท้จริง  

 

 

เมื่อก่อน นางคือราชินี หากอยากได้อะไรแล้ว แม้ว่าจะเป็นแหล่งฝึกวิชาก็ตาม เป็นเรื่องง่ายเพียงแค่กระดิกนิ้วชี้ไปก็จะมากองแทบเท้านาง แต่ว่าตอนนี้ ต้องการอะไรก็ไม่มีสักอย่าง  

 

 

นับจากนี้สามเดือน นางยังต้องประลองกับชายไม่เอาไหนอย่างเย่ว์หนานซี  

 

 

เจียงหลีถอนหายใจ  

 

 

“นี่มันอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่พลังจิตถูกข้าดูดซับไปแล้ว แต่กลับยังหลงเหลือพลังที่ไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย” นางพึมพำ  

 

 

ก่อนหน้านี้ นางกับวิญญาณอีกดวงพุ่งเข้าใส่ร่างของเจ้าของเดิมพร้อมกัน แต่ทว่า เนื่องจากอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป จึงถูกนางใช้ประโยชน์โดยดูดกลืนวิญญาณทั้งสองเข้าไป จึงเป็นเหตุให้วิญญาณของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก  

 

 

ดูเหมือนว่า เจ้าของเดิมได้กลายเป็นควันลอยหายไปแล้ว แต่ผู้ที่พุ่งชนพร้อมกับนาง กลับหลงเหลืออะไรบางอย่างไว้ สิ่งที่ทำให้เจียงหลีประหลาดใจคือ ขณะที่นางดูดซับพลังวิญญาณจากอีกฝ่าย กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความทรงจำ แต่ขณะที่นางปลุกเนตรญาณ กลุ่มแสงที่หลงเหลือ ราวกับได้รับการกระตุ้น มีสัญญาณการตื่น เมื่อครู่ที่นางสัมผัสได้ถึงเนตรญาณอย่างละเอียด มีสิ่งหนึ่งออกมาจากกลุ่มแสงนั้น ก็คือเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ  

 

 

และที่นางเจ็บปวดปางตายเมื่อครู่ ก็เป็นเพราะกลุ่มแสงเหล่านั้น   

 

 

บัดซบ!  

 

 

เจียงหลีทนไม่ไหวจึงสบถด้วยเสียงทุ้มต่ำ  

 

 

การมีอยู่ของกลุ่มแสง กล่าวง่ายๆ เป็นเหมือนกับภัยคุกคามที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับนางได้  

 

 

“เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ เป็นอาณาบริเวณพิเศษของการฝึกฝน หลังจากที่เข้าร่วม ถ้าปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะได้รับรางวัลที่มีส่วนช่วยในการฝึกฝน แต่ถ้าเจ้าตัวเป็นผู้เลือกภารกิจเอง ความยากของมันก็จะเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถเลือกรางวัลที่เท่ากับความยากได้อย่างอิสระ” เจียงหลีพึมพำ  

 

 

ของอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เจียงหลีจะไม่หวั่นไหว  

 

 

แต่ปัญหาก็คือ เมื่อนางรู้เกี่ยวกับเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อแล้ว และตื่นเต้นอยากเข้าร่วมด้วย กลับพบว่า นางเข้าร่วมไม่ได้อยู่ดี  

 

 

เจียงหลีพูดอะไรไม่ออก  

 

 

หลังจากที่สงบลง ระหว่างคิ้วของเจียงหลีแสดงสีหน้าครุ่นคิด “เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ ไม่ได้เป็นเหมือนสิ่งที่คนทั่วไปมี ตอนนี้ข้าเปิดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพลังไม่พอ แค่สิทธิ์ในการเข้าประตูยังไม่มี เจ้าสิ่งนี้ มันอยู่กับกลุ่มแสงเหล่านั้น ตกลงเจ้าคนที่เข้ามาพร้อมกับข้า คือใครกัน” เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ การเผยตัวของเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ ทำให้เจียงหลีประหลาดใจถึงตัวตนของ ‘อีกคนหนึ่ง’  

 

 

แต่ว่า ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้รับการอธิบายในระหว่างนี้  

 

 

ไตร่ตรองได้ครู่หนึ่ง เจียงหลีไม่อยากคิดต่อไปอีกแล้ว ความเจ็บปวดปางตายในครั้งก่อน ทำให้นางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว หลังจากอาบน้ำเสร็จ นางถึงจะเอนกายนอนพักผ่อน   

 

 

พอตื่นขึ้นมา ก็พบว่ารุ่งเช้าแล้ว  

 

 

นึกถึงคำพูดที่ลู่เจี้ยกล่าวไว้เมื่อวาน ว่าวันนี้จะพานางไปยังที่แห่งหนึ่ง เพื่อช่วยนางในการฝึกฝน นางก็ลุกจากเตียงด้วยความตื่นเต้น  

 

 

หลังจากที่ไม่มีพวกทาสแล้ว ทุกอย่าง ก็คงต้องพึ่งพาตัวเอง  

 

 

ก็ดี ถึงแม้เจียงหลีจะมียศอันสูงส่ง แต่กลับไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงตามใจจนเสียนิสัย การปรับตัวในหลายมาวันนี้ทำให้นางคล่องแคล่วขึ้นแล้ว  

 

 

ออกจากเรือนไป เจียงหลีพบว่าหม่าหยวนจย่ารอนางอยู่ข้างนอกแล้ว  

 

 

เมื่อเห็นนางออกมา หม่าหยวนจย่ารีบกล่าวทันที “คุณหนู รถม้าที่นายน้อยจัดเตรียมไว้ให้รออยู่ด้านนอกแล้วขอรับ”  

 

 

“เขาไม่ไปหรือ” เจียงหลีถามด้วยความประหลาดใจ  

 

 

หม่าหยวนจย่าส่ายหัว “ที่แห่งนั้น น้อยนักที่นายน้อยจะไป โดยมากผู้บัญชาการลู่จ้านที่เป็นผู้รับผิดชอบ”  

 

 

“ลู่จ้านงั้นหรือ” เจียงหลีกระพริบตา จดจำชื่อของบุคคลนี้  

 

 

หม่าหยวนจย่าพยักหน้า ในวันนี้เขาเป็นผู้อารักขาส่วนตัวของเจียงหลีแล้ว พรสวรรค์ของนาง เขาก็ได้เห็นกับตาแล้ว ขอแค่เขามีความภักดี วันหน้าถ้าเจียงหลีประสบผลสำเร็จ ข้างกายต้องมีตำแหน่งว่างให้เขาเป็นแน่  

 

 

รถม้าไปยังเมืองซูหนาน ข้างหน้าคือหุบเขาปู้กุย หุบเขาที่ไม่มีวันหวนกลับชื่อดังในสมัยราชวงศ์โฮ่วจิ้น  

 

 

ปู้กุย ไปแล้วกลับมาไม่ได้  

 

 

เป็นเพียงแค่ชื่อสถานที่ ก็ได้แสดงถึงอันตรายของหุบเขา!  

 

 

แน่นอน ไม่กลับ ไม่ใช่ไม่ได้กลับจริงๆ แต่สามารถกลับมาได้ปลอดภัยหรือเปล่า ยังต้องดูอีกที นี่ก็เป็นความสามารถส่วนบุคคล   

 

 

“ผู้อารักขาของจวนตระกูลลลู่ หลังจากได้ทำการทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว ล้วนแต่ต้องถูกส่งไปยังหุบเขาปู้กุย ฝึกฝนตนในค่ายของตระกูลลู่ ผู้นำลู่จ้าน ก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของที่นั่น อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของนายน้อย ตำแหน่งของเขา คนอื่นยากที่จะมาโค่น” หม่าหยวนจย่าแนะนำให้เจียงหลีได้รู้จักระหว่างทาง  

 

 

เจียงหลีฟังอย่างละเอียด แอบคิดในใจ จักรพรรดิไม่อนุญาตให้ตระกูลลู่มีกองกำลังทหารของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ห้ามปรามการมีผู้อารักขา จริงอยู่ ตระกูลที่ใหญ่เช่นนี้ ถ้าไม่สามารถมีทหารประจำเรือน เรื่องหน้าตาก็คงพูดอะไรต่อไม่ได้แล้ว แต่ว่า ถ้าตามนิสัยของลู่เจี้ยแล้ว เขาจะเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีทหารส่วนตัวจริงหรือ  

 

 

ในช่วงที่ไม่ชัดเจนนัก เจียงหลีได้กลิ่นของดินปืนอ่อนๆ  

 

 

ลู่เจี้ย ไม่ใช่คนที่จะมานั่งรอความตาย ตอนนี้ความอดทนของตระกูลลู่ เพียงแต่ฮ่องเต้ยังมิได้ยั่วยุพวกเขาถึงขีดสุด  

 

 

“ค่ายของตระกูลลู่ คนนอกรู้หรือไม่ว่าอยู่ที่แห่งใด” เจียงหลีถามด้วยความประหลาดใจ  

 

 

หม่าหยวนจย่าส่ายหน้า “ในหุบเขาที่ไม่มีวันหวนกลับเป็นที่ๆ จวนตระกูลจวิ้นมอบให้แก่ตระกูลลู่ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ล้วนเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของทหารตระกูลลู่ บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ มิเช่นนั้นจะถูกฆ่า”  

 

 

เจียงหลีพยักหน้า ไม่ถามต่อ  

 

 

ทันใดนั้น นางคิดคำถามหนึ่งขึ้นได้ เปิดม่านถามหม่าหยวนจย่าที่อยู่ด้านนอกว่า “หลังจากฝึกฝน ประลองกับผู้คน พลังเนตรญาณของตนเองจะออกมาไหม”  

 

 

“ไม่ขอรับ เนตรญาณจะออกมาเฉพาะตอนที่ปลุกพลัง ถ้าหลังจากเริ่มต้นการฝึก ขณะที่ประลองกับผู้คนก็จะสำแดงออกมาเพียงแค่พลังก่อนหน้าเท่านั้น” หม่าหยวนจย่ากล่าว  

 

 

เจียงหลีโล่งอกโล่งใจ ก่อนหน้านี้นางกังวล ถ้าหากตอนที่ประลองกับผู้อื่น แล้วพลังเนตรญาณของนางออกมาจนหมด จะทำเช่นไร  

 

 

บางครั้ง พรสวรรค์ที่ทำให้ผู้อื่นแหงนมอง ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีด้วย นี่คือดาบสองคม ก่อนที่ยังไม่ได้ตัดสินฝีมือ ข้าต้องถ่อมตัวไว้ ถึงจะไม่ถูกผู้อื่นควบคุม เจียงหลีคิดเงียบๆ อยู่ในใจ  

 

 

เวลาผ่านไปสองถึงสามชั่วยาม จากเช้าจรดเย็น เจียงหลีเพิ่งจะมาถึงค่ายฝึกฝนของตระกูลลู่  

 

 

ขณะลงจากรถม้า นางสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตที่ถูกส่งมา ตานางเป็นประกาย มองไปยังชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า  

 

 

ชายผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเสียจริง เจียงหลีค่อยๆ กะพริบตา  

 

 

“คนผู้นั้นคือลู่จ้านผู้บังคับบัญชาสูงสุด คนที่นี่ล้วนแต่เรียกเขาว่า คนบ้าบิ่น” หม่าหยวนจย่าที่ยืนอยู่หลังเจียงหลี กล่าวด้วยเสียงทุ้ม  

 

 

ลู่จ้าน คนบ้าบิ่น!  

 

 

เจียงหลีหรี่ตามองใบหน้าที่คมดั่งมีด หุ่นที่สูงใหญ่ของชายใบหน้าเย็นชา คิ้วของเขาชี้ขึ้นบนฟ้า ดวงตาลุ่มลึกและสดใส ผิวของเขาหยาบกร้านเป็นสีน้ำผึ้ง  

 

 

เขายืนอยู่อย่างนี้ที่นั่น แต่เหมือนราวกับมีกองทัพนับหมื่นนับพัน และทำให้คนที่อยู่ข้างหลังเขาทั้งสองคนดูตัวเล็กขึ้นมาทันที  

 

 

“เจียงหลีงั้นหรือ” ลู่จ้านกล่าว เพื่อยืนยันตัวตนของหญิงสาวที่บอบบางตรงหน้า  

 

 

ทาสหญิงเช่นนี้ ช่างไม่เข้าตาเสียจริง ลักษณะที่ดูเด็ก ก็ยังเทียบกับแม่บ้านคนสวยของเรือนลู่ไม่ได้ แต่ว่า พรสวรรค์ของนางนั้น…  

 

 

ข้อความที่นายน้อยส่งมา ทำให้ลู่จ้านหลังจากที่เห็นนางแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งแสงประกายออกมา  

 

 

“ข้าเอง” เจียงหลีกล่าวตามมารยาท  

 

 

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ถ้ำปีศาจทั้งเก้า”   

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset