ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 23 ผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงกับขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครา

“นี่ยังไม่ใช่ถ้ำเก้าปีศาจอีกหรือ” เจียงหลีเกิดความสงสัย  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นหม่าหยวนจย่าหรือลู่จ้านล้วนแต่บอกแก่นางว่านี่คือถ้ำปีศาจทั้งเก้า แต่ทำไมเด็กพวกนี้มองนางเหมือนคนโง่แบบนี้  

 

 

“ก็จริงอยู่ว่าที่นี่คือถ้ำเก้าปีศาจ แต่ถ้ำเก้าปีศาจไม่ได้มีแต่ที่นี่” เซียวเซียวยกมือขึ้นชี้ไปทางกลุ่มคนที่กำลังกลั้นขำ  

 

 

เจียงหลีกระพริบตานางมองออกว่าเซียวเซียวถือว่าเชื่อถือได้ในหมู่คนเหล่านี้  

 

 

“คำพูดนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน” คำพูดของเซียวเซียวทำให้นางเกิดความประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะจากไป  

 

 

เซียวเซียวก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเดินมาใกล้เจียงหลี “ถ้ำเก้าปีศาจแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นที่ฝึกฝนสำหรับผู้อารักขาทั่วไป อีกส่วนก็คือที่นี่ พูดอย่างไม่อ้อมค้อมที่นี่ก็คือสถานที่คัดเลือกผู้อารักขาประจำตัวของตระกูลลู่และยังเป็นดินแดนแห่งความตาย ถ้าไม่สามารถออกจากวงนี้ได้ภายในสามครั้งก็จะถูกคัดออก คนที่ตายก็ตายฟรีส่วนคนที่รอดก็ไปฝึกต่อที่ค่ายทหาร”   

 

 

เจียงหลีเข้าใจในทันใด  

 

 

ที่แท้นี่ยังไม่ได้เป็นการฝึกฝนที่แท้จริงแต่เป็นการคัดเลือกต่างหาก  

 

 

“ค่าตอบแทนของผู้อารักขาทั่วไปนั้นเทียบไม่ได้เลยกับผู้อารักขาประจำตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นยังห่างชั้นกันราวฟ้ากับดิน แต่ว่าภารกิจที่ผู้อารักขาประจำตระกูลได้รับก็จะยากกว่ามากเช่นกัน แต่โอกาสก็มากกว่า ถ้าหากรอดถึงสิบปีก็จะรับตำแหน่งพิเศษในตระกูลลู่ แม้กระทั่งได้ใช้แซ่ลู่เพื่อเป็นหลักประกัน” เซียวเซียวอธิบายเพิ่มอีกขั้น “ว่ากันว่า ผู้บัญชาการลู่จ้านก็เป็นอดีตผู้อารักขาประจำตระกูลและเป็นผู้อารักขาประจำตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด”  

 

 

เจียงหลีเหมือนมีแสงสว่างวาบผ่านดวงตา คำพูดนี้ของเซียวเซียวแสดงออกถึงข้อความที่สำคัญมากมายและเป็นการอธิบายทางอ้อม ทำให้รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกถึงเพียงนี้  

 

 

แต่ว่าสิ่งที่นางประหลาดใจมากที่สุดคือ ลู่จ้านมีลมปราณเช่นไรและเขามีเนตรญาณทั้งหมดกี่ดวง  

 

 

“ถึงแม้พวกเจ้าจะชนะแล้ว แต่ว่าสิทธิ์มันมีเพียงสิทธิ์เดียว สามครั้งก็ได้เข้าแค่สามคน แต่พวกเจ้ามีถึงเจ็ด” เจียงหลีกล่าวด้วยความสงสัย  

 

 

เด็กหนุ่มเหล่านี้ได้แต่มองหน้ากันไปมา   

 

 

สุดท้ายเซียวเซียวก็ได้พูดขึ้นมา “พวกเรารู้อยู่แก่ใจและเข้าใจโอกาสสามครั้ง แต่พวกเราขอแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว”  

 

 

“ใช่แล้ว พี่เซียวเป็นตัวแทนของพวกเรามีพรสวรรค์เหนือสุดแถมเฉลียวฉลาด พวกเราแค่คอยส่งเขาไปให้ถึงฝั่ง ขอเพียงแค่เขาสามารถรอดออกมาได้ก็จะปฏิบัติต่อพวกเราเป็นอย่างดี”  

 

 

“ถูกแล้ว พี่เซียวจะดูแลพวกเรา”  

 

 

“แม่สาวคนนี้เจ้าเป็นเด็กใหม่ ครั้งแรกก็ถือซะว่าเป็นการเก็บประสบการณ์ แล้วจะมาแย่งชิงกับพวกเราทำไมเล่า ภายภาคหน้าเจ้ายังเหลือโอกาสอีกตั้งสองครั้ง แต่วันนี้กลับเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้ว”  

 

 

เด็กหนุ่มเหล่านี้ แย่งกันพูดไปมา  

 

 

ดูจากลักษณะแล้วพวกเขาตั้งใจว่าถ้าใช้กำลังไม่สำเร็จก็หันมาใช้คำพูดหว่านล้อมแทน  

 

 

ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเป็นใช้ไม้อ่อนงั้นหรือ  

 

 

เจียงหลีเบ้ปากขึ้นแววตาส่องสว่างเดินผ่านคนทั้งเจ็ดและหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเซียว “เจ้ามานี่” นางกวักมือเรียกเซียวเซียว  

 

 

เซียวเซียวกระพริบตาปริบๆ แล้วเดินตามไป  

 

 

“เจ้าอยากได้ที่หนึ่ง ก็ได้ ข้าไม่เพียงแต่จะไม่แย่งชิงกับเจ้า แต่ว่าจะช่วยให้เจ้าชนะการคัดเลือกด้วย เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง” เจียงหลีกระซิบข้างหูเขาด้วยเสียงทุ้ม  

 

 

เซียวเซียวยักคิ้วขึ้นถามอย่างระมัดระวังว่า “เงื่อนไขอะไร ”  

 

 

“หินวิญญาณที่เจ้าได้มา ข้าขอแบ่งหนึ่งในสอง” เจียงหลียกคางที่แหลมคมขึ้น กล่าวด้วยเหตุและผล  

 

 

เฮ้อ!  

 

 

เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนถอนหายใจเข้าพร้อมกัน ช่างเป็นเสียงถอนหายใจที่แรงเสียจริง  

 

 

“หินวิญญาณยังต้องแบ่งให้กับพวกเขาหกคน เจ้าคนเดียวเอาไปครึ่งหนึ่ง มันยุติธรรมกับคนอื่นหรือ” เซียวเซียวกัดฟันกล่าว  

 

 

ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ  

 

 

เจียงหลียักคิ้วและยิ้ม รอยยิ้มแฝงด้วยความเยาะเย้ย “ตั้งแต่ที่พวกเจ้าคิดจะร่วมมือกัน และยังวางแผนเพื่อส่งเจ้าให้เป็นผู้อารักขาประจำตัว การคัดเลือกนี้ก็ไม่หลงเหลือความยุติธรรมใดแล้ว อย่ายกยอตัวเองให้สูงส่งเช่นนั้น แท้จริงพวกเจ้าเพียงแค่ต้องการบรรลุเป้าหมายเท่านั้น ถ้ามองเช่นนี้ข้าและพวกเจ้าก็ไม่ต่างกัน หินวิญญาณแบ่งมาให้ข้าครึ่งหนึ่ง เพราะเจ้าเพียงต้องการเพียงสิทธิ์ของผู้อารักขาประจำตระกูล ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเจ้าสามารถแบ่งให้พวกเขา ถึงพวกเขาจะเสียสิทธิ์ผู้อารักขาประจำตัว เมื่อเข้าไปยังค่ายฝึกทหาร ขอเพียงแค่ขยันสู้ชีวิตก็ยังสามารถได้คุณสมบัติการฝึก และหลังจากที่เจ้าเข้าไปฝึกผู้อารักขาประจำตระกูลแล้วก็จะมีคุณสมบัติฝึกฝนเช่นเดียวกัน ดังนั้นหินวิญญาณครึ่งหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ และประเด็นที่สำคัญ…” นางยกมือขึ้นชี้ไปที่ใบหน้าของเซียวเซียว “อย่าลืมล่ะ พวกเจ้าแพ้ข้าถ้าข้าไม่ยอม เจ้าทำได้เพียงแค่เข้าในไปค่ายฝึกทหารกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นหินวิญญาณสักก้อนก็อย่าคิดว่าจะได้”  

 

 

คำพูดนี้ของนางทำให้เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดเงียบจนพูดไม่ออก ต่างคนต่างมองกันไปมา สุดท้ายต่างก็ได้มองไปที่เซียวเซียวที่พวกเขาเชื่อถือ   

 

 

เซียวเซียวเกิดความลังเลในใจ สุดท้าย ก็ได้พยักหน้าตอบตกลง “ได้ งั้นก็ทำตามวิธีที่เจ้าพูด”  

 

 

เจียงหลีหัวเราะอ้าปากกว้างเผยรอยยิ้มที่สดใสด้วยความงุนงงที่ไม่สามารถบรรยายได้ไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ที่อ่อนวัยและบริสุทธิ์ของนางอย่างสิ้นเชิง  

 

 

“ไปกันเถอะ มีเวลาไม่มากอย่าปล่อยให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้” เจียงหลีพูดจบก็เดินต่อไปข้างหน้าด้วยความหยิ่งผยอง  

 

 

เด็กหนุ่มทั้งหกล้อมรอบตัวเซียวเซียวรอเขาออกคำสั่ง  

 

 

เซียวเซียวมองซ้ายมองขวาพยักหน้า ทั้งเจ็ดคนเดินตามหลังเจียงหลี มุ่งหน้าไปยังทางออกของวงกลมสีแดง  

 

 

บททดสอบของลู่จ้านคือดูว่าใครจะถึงทางออกของวงกลมสีแดงก่อน แต่ไม่ใช่การฆ่าคน ดังนั้น ทุกคนล้วนต้องใช้ความเร็วที่สูงที่สุดในการไปสู่ทางออก  

 

 

แต่ทว่าตอนที่ทางออกอยู่แค่เอื้อม การรวมตัวกันเป็นกลุ่มได้แสดงความประทับใจต่อหน้าเจียงหลี กลองยักษ์เรียงกันเป็นแถวบนเรือนร่างนั้นมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ชายหนุ่มหุ่นเสือร่างหมี ยืนเรียงกันหน้ากลองยักษ์ ในท้ายแถวของกลองยักษ์ก็คือทางออกของวงกลมสีแดง ลู่จ้านกำลังยืนอยู่ที่นั่นท่าทางสูงตรงราวกับกับปืนเหล็ก  

 

 

“นี่มันอะไรกัน” เจียงหลีถามด้วยความประหลาดใจ  

 

 

เซียวเซียวกล่าวด้วยใบหน้าที่เข้มขรึม “ขบวนทุบพันครั้งฝึกร้อยครา นี่ถึงจะเป็นการทดสอบที่แท้จริง”  

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้ว  

 

 

“จากทางเข้ามาถึงที่นี่ เป็นเพียงความไม่ราบรื่นเล็กน้อย ถ้าบังเอิญพบคู่ต่อสู้เข้าแล้วสามารถบังคับให้สละสิทธิ์ก็จะเพิ่มโอกาสชนะให้ตัวเองมากขึ้น แต่ทว่าพวกเด็กหนุ่มรู้ดีว่านี่ถึงจะเป็นการทดสอบที่แท้จริง การจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงจำเป็นต้องผ่านด่านขบวนทุบพันครั้งฝึกร้อยคราก่อน นี่เป็นคำพูดของลู่จ้าน เมื่อเสียงกลองเหล่านี้ดังขึ้น เสียงกลองก็จะทุบเข้ากระดูกและผิวหนังนับร้อยนับพันครั้ง จนกว่าจะมีคนสามารถเดินออกมาเข้าเส้นชัยหรือจนกระทั่งทั้งสนามเหลือเพียงคนเดียวถึงจะหยุดตี ความเจ็บปวดที่ได้รับยากที่จะบรรยาย เจ้าบอกว่าเจ้าจะช่วยให้ข้าได้ที่หนึ่ง วันนี้เจ้าควรจะช่วยข้าอย่างไร” เซียวเซียวกล่าวจบก็ได้ยิ้มเยาะเย้ยออกมา  

 

 

เหมือนกับว่ากำลังหัวเราะเจียงหลี  

 

 

เจียงหลีไม่มองรอยยิ้มของเขา นางมองไปยังคนที่มาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย เมื่อเทียบกับตอนที่เข้ามา ที่มีเพียงไม่กี่คน แต่ว่า หลังจากที่มาถึงที่นี่ สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไป ในแววตาแฝงไปด้วยความกลัว และท้อถอย  

 

 

ดูแล้วขบวนทุบพันครั้งฝึกร้อยครามีชื่อเสียงไม่น้อย เจียงหลีคิดในใจ  

 

 

เมื่อคนมาครบ ลู่จ้านยืนอยู่หน้าทางออก เสียงของเขาราวกับเสียงฟ้าผ่า “ผู้กล้า ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คนขี้ขลาดก้าวถอยหลังไปห้าก้าว”  

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset