ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 25 ไสหัวไปให้พ้น! กล้าดีอย่างไรถึงมาเอาเปรียบเหล่าเหนียง!

 

 

 

เซียวเซียวรู้สึกขมขื่นในใจ   

 

 

เดิมทีเขารับการฝึกฝนและได้รับการคัดเลือกจากขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครามาอย่างดี เพียงเขากัดฟันสู้แล้วพุ่งเข้าไป และเป็นคนแรกที่เดินออกมาสนามรบ ก็จะสามารถเข้าเป็นรายชื่อสายลับของตระกูลลู่ แต่ว่า ไม่นานหลังจากที่เริ่มต้น เขาก็ถูกเจียงหลีจับและลากไป ผลของการเดินเร็วนี้และ ขบวนทุบพันครั้งฝึกร้อยคราที่เกิดขึ้นกับเขาซ้ำเติมและส่งผลทำให้เขาอาเจียนเป็นเลือด  

 

 

ใครจะรู้ว่านี่ยังไม่ใช่ตอนจบ  

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเขา เจียงหลีเตะเขาบินปลิว และลากเขาไปกับพื้นเป็นระยะทางที่ไกล ก่อนที่จะหยุดอยู่นอกสนาม เซียวเซียวใช้มือจับจุดที่เจียงหลีเตะเขา และเมื่ออ้าปากก็พ่นเลือดออกมา  

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นใบหน้าของเขาซีด เหงื่อเย็นก็ออกมาด้วย แล้วจ้องมองที่เจียงหลี  

 

 

หลังจากที่เจียงหลีกระทำทั้งหมดนี้แล้ว เลือดก็ไหลออกจากมุมปาก เมื่อครู่นี้นางไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าเซียวเซียว แน่นอนว่าขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครานี้ส่งผลอย่างชัดเจนต่อร่างกาย   

 

 

“ขออภัย เดิมทีข้าอยากจะโยนเจ้าออกไป แต่ข้าเป็นเพียงหญิงสาว กำลังของมือมีไม่มากเท่ากำลังเท้า ดังนั้นโปรดให้อภัยกับข้าด้วย” ประโยคนี้เจียงหลีกล่าวอย่างไม่จริงใจมากนัก  

 

 

“…” เซียวเซียวจะพูดอะไรได้เล่า ได้แต่โทษชะตาชีวิตตัวเองว่าทุกข์ระทม ทำไมถึงต้องมาพัวพันกับแม่เสือสาวตัวนี้ด้วย  

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่เคลื่อนไหว เจียงหลีจึงตะโกนเสียงดัง “ยังไม่ออกไปอีก!” เมื่อตะโกนคำเหล่านี้ออกไปอย่างหนักหน่วง นางรู้สึกว่าร่างกายของตนถูกกระแทกอย่างรุนแรง และกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ  

 

 

ร่างกายของเซียวเซียวกระตุก และมีการตอบสนองในที่สุด  

 

 

เขาออกจากสนาม แม้ว่ามันจะผ่านไปแบบที่ไม่สง่างามมากนัก  

 

 

คนอื่นที่ยังอยู่ในสนาม ก็แสดงปฏิกิริยาเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหลี พวกเขาต้องการที่จะปฏิบัติตามแต่กลับไม่พบคนที่เตะพวกเขา  

 

 

“ขอร้องเจ้า มาเตะข้าออกไป”  

 

 

“เจ้าเตะข้าออกไปที เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง”  

 

 

“…” สักพักก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ทุกคนต้องการถูกเตะออกและต่อสู้เพื่ออันดับหนึ่ง  

 

 

ลู่จ้านมองทุกดูอย่างอย่างเย็นชา พฤติกรรมของเจียงหลีนั้นเกินความคาดหมาย เมื่อเจียงหลีลากเซียวเซียวแล้ววิ่ง เขาเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ เมื่อนางไล่เขาให้ออกจากสนามรบ ลู่จ้านก็เกือบจะเปิดปากด่าแม่  

 

 

โชคดีที่ในที่สุดเขาก็กลืนคำพูดเข้าไป ด้วยความพากเพียรอย่างน่าประหลาด  

 

 

ลู่จ้านไม่ได้สั่งหยุดพฤติกรรมของเจียงหลี เป็นการยอมรับกลายๆ อย่างไรก็ตามหลังจากความวุ่นวายในการต่อสู้สิ้นสุดลง เขาก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง  

 

 

เหล่าผู้ที่ตีกลองหลังจากมองเห็นแล้ว ความเร็วในมือของพวกเขาก็เพิ่มเสียงมากขึ้นและถี่ขึ้น เสียงนั้นเหมือนหมัดชก ประหนึ่งว่าค้อนได้ทุบตีบนร่างกายของทุกคน ผ่านผิวหนังเข้าไปสู่กระดูกขาวทั่วร่าง  

 

 

อ้าาา!  

 

 

อ้ากก!  

 

 

ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องในสนาม และคนที่อยู่ข้างในสนามรบนั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะเตะคนออกไปเลย แม้แต่เจียงหลีเองก็ถูกกดลงบนพื้นด้วยเสียงกลอง ขาของนางทรุดลงบนพื้น มือทั้งสองข้างค้ำพยุงร่างกายของตนเอาไว้และตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา  

 

 

นางก้มหัวลง เพื่อไม่ให้ผู้คนมองเห็นสีหน้าของตนในขณะนี้ เห็นเพียงเลือดที่หยดลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยฝุ่น  

 

 

เซียวเซียวมองไปที่เจียงหลีด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน จากนั้นก็ยืนขึ้นและเดินโซเซไปทางของลู่จ้าน  

 

 

ตรงข้ามคือพวกคนที่ถอนตัวออกไป ได้จ้องมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง  

 

 

“หากข้ารู้ว่ามีวิธีแบบนี้ พวกข้าก็ไม่ต้องถอนตัวแล้ว” ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ  

 

 

คนที่เดิมพันกับเซียวเซียวจ้องไปที่ร่างบางของเจียงหลี เขายิ่งกังวลว่านางจะยืนหยัดได้ถึงระยะเวลาครึ่งก้านธูป  

 

 

อย่างไรก็ตามตราบใดที่เด็กคนนั้นไปถึงทางออก การต่อสู้ก็จะหยุดลง ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ถือได้ว่าข้าไม่ใช่ผู้แพ้ ใช่แล้ว ผู้ที่แพ้คือเด็กคนนั้นและไม่ใช่ข้า เขาคาดหวังความให้เกิดความบังเอิญอยู่ภายในใจ  

 

 

เวลานี้ ท่ามกลางคนทั้งหลาย เขาน่าจะเป็นคนที่หวังให้เซียวเซียวเดินไปหาลู่จ้านมากที่สุด  

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองดูด้วยความตื่นเต้น และขณะที่เซียวเซียวเดินไปคำนับลู่จ้านตรงหน้า ฉากที่เขาจินตนาการนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ลู่จ้านมองไปที่เซียวเซียวอย่างไม่แยแส และไม่ได้สั่งให้การฝึกฝนนั้นหยุดลง  

 

 

ในขบวนนี้ผู้คนเหล่านั้นที่ถูกทรมาน ต่างมองไปที่เขาอย่างคาดหวัง แม้ว่าพวกเขาจะมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวและเลือดออกเจ็ดทวารในขณะนี้ มุมปากของลู่จ้านยกขึ้นเล็กน้อยและรอยยิ้มที่โหดร้ายก็เปล่งประกาย “การต่อสู้จะหยุดลงก็ต่อเมื่อมีผู้ได้ที่หนึ่งปรากฏตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้มีคนวางเดิมพัน ฉะนั้นก็สู้กันต่อไปเถอะ ระยะเวลาครึ่งก้านธูปนั้นจะผ่านไปในไม่ช้า”  

 

 

เซียวเซียวที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขามองไปที่ของเจียงหลีด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน และเห็นว่าร่างเล็กๆ ของนาง ยังคงยึดมั่นและอยู่นิ่งเงียบ จึงมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะปกป้องนาง แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นการตัดสินใจโดยที่นางไม่รู้เรื่อง ผลลัพธ์ในตอนนี้คือเขาปล่อยให้นางแบกรับการฝึกนั้นไว้เพียงลำพังและนางทำตามสัญญาปล่อยให้เขาได้ที่หนึ่งในครั้งนี้  

 

 

“ใต้เท้าลู่จ้าน…”  

 

 

เซียวเซียวอยากขอร้อง อย่างไรก็ตามเขาถูกลู่จ้านมองด้วยสายตาเย็นชาและปิดปากไปโดยไม่เต็มใจ  

 

 

เซียวเซียวมองไปที่เจียงหลี และตะโกนเสียงดัง “นี่ ถ้าเจ้าไม่ไหวก็ยอมแพ้เถอะ” ตอนนี้มีเพียงให้เจียงหลียอมแพ้เองเท่านั้น  

 

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าในขณะนี้ แม้ว่าเจียงหลีจะทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดเพราะการฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่ดวงตาของนางก็เปล่งแสงพราวพร่างพราวออกมา  

 

 

ท่าทางนั้นดูตื่นเต้น  

 

 

นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้อตกลงของการเดิมพันคืออะไร หรือเรื่องของระยะเวลาครึ่งก้านธูป นางไม่สนใจคำพูดของเซียวเซียว นางรู้แค่ว่าถึงแม้ตอนนี้ตนจะรู้สึกอาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสกปรกในร่างกายและการเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลังจากที่ฝึกซ้อมอย่างหนักของขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยครา ถึงแม้นางจะรู้สึกถึงพลังของสายเลือดอสรพิษโบราณปรากฏและมีสัญญาณของการฟื้นคืน  

 

 

ระยะเวลาครึ่งก้านธูปจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าเร็วก็ไม่เร็วนัก เมื่อเถ้าธูปปลิวไปกับลม กลองก็หยุดลง ทุกคนต่างก็นอนจมกองเลือด  

 

 

มือและเท้าทั้งสองข้างของเจียงหลีค้ำยันร่างไว้เงียบเงียบ  

 

 

จนกระทั่ง เท้าคู่หนึ่งในรองเท้าหนังปรากฏอยู่ตรงหน้านาง นางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางมองดูลู่จ้าน และลู่จ้านก็มองดูนางด้วยเช่นกัน  

 

 

ยังคงมีคราบเลือดอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามดวงตาของนางสดใสมาก ลู่จ้านได้สบตากับดวงตาคู่นี้ หัวใจของเขาตกตะลึง และเขาก็ฝังมันไว้ในใจของตน แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีผ่านมาเขาก็ยังจำได้ว่ามันสุกใสเพียงใด  

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง” ลู่จ้านถามอย่างเย็นชา  

 

 

เจียงหลีแสยะยิ้ม ลุกขึ้นยืนบนพื้นยกมือขึ้นเช็ดเลือดบนใบหน้า “ไม่เลวนัก”  

 

 

ไม่เลวนัก ลู่จ้านขมวดคิ้ว  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนพูดถึงการฝึกซ้อมขบวนรบทุบพันครั้งฝึกร้อยคราเช่นนี้  

 

 

“เจ้ายังไม่มาคำนับและเรียกว่ามารดาอีกหรือ” ในตอนนี้เสียงของเซียวเซียวก็ดังขึ้น  

 

 

มารดาอย่างนั้นหรือ  

 

 

เจียงหลีมองไปที่เซียวเซียวอย่างอธิบายไม่ถูก พบเพียงดวงตาของเขากำลังมองไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างล้อเลียน วัยรุ่นหน้าซีดเหล่านั้นคือคนที่เพิ่งถอนตัว  

 

 

เกิดอะไรขึ้น เจียงหลีไม่รู้ว่าจะทำอะไรกัน  

 

 

คนที่เดิมพันกับเซียวเซียวกัดฟันและกำหมัดแน่น เซียวเซียวกล่าวอย่างประชดประชันว่า “ทำไม เจ้ากล้าที่จะผิดคำสัญญาของเจ้าต่อหน้าใต้เท้าลู่จ้านหรือ  

 

 

เมื่อพูดถึงลู่จ้านชายคนนั้นเกาหัว เขามองไปที่ลู่จ้านอย่างเขินอาย และเห็นเพียงแค่ว่าเขามองตัวเองอย่างเฉยเมย ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าอุณหภูมิในเลือดลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง  

 

 

เขาไม่กลัวเซียวเซียว แต่เขากลัวลู่จ้านอย่างมาก  

 

 

ในสายตาที่สงสัยของเจียงหลีเขาค่อยๆ เดินไปหานาง ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงคำนับสามครั้งหลับตาและตะโกนว่า   

 

 

“มารดา”  

 

 

การกระทำอย่างกะทันหันนี้ ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้วและเยาะเย้ยด้วยความรังเกียจ “ไสหัวไปให้พ้น! กล้าดียังไรถึงจะมาเอาเปรียบเหล่าเหนียง!”  

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset