ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 41 ถือว่าเสมอกัน

“เจียงหลี เจ้าทำอะไรกับข้า”

 

 

แหะๆ

 

 

ต่อหน้าคำถามของลู่เจี้ย เจียงหลีได้แต่หัวเราะ นางหันหลังให้เขา ไอด้วยเสียงเบาๆ หันหลังกลับมา เผชิญหน้าเขา กล่าวอย่างไร้เดียงสา “ทำอะไรเล่า ท่านสลบไป ข้าก็สลบไป ท่านเพิ่งตื่นขึ้น ข้าก็เพิ่งตื่นขึ้น”

 

 

ลู่เจี้ยหรี่ตามอง กระซิบในใจ นางพูดวกวนไปมา ต้องการจะปิดบังอะไรกันแน่

 

 

เขาทำให้เจียงหลีรู้สึกตึงเครียดเมื่ออยู่ต่อหน้าความเฉลียวฉลาดของลู่เจี้ย นางไม่มีแม้แต่ความกล้า แต่การมีอยู่ของเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อไม่สามารถเปิดเผยให้เขารู้ได้!

 

 

นางกับชายผู้นี้เพิ่งรู้จักกันได้นานแค่ไหนเชียว ความลับแทบทั้งหมดถูกเขามองออกอย่างชัดเจน ครั้งนี้ แพ้ไม่ได้เป็นอันขาด!

 

 

“ไม่ได้ทำอะไรแล้วคราบสกปรกบนเสื้อผ้าของข้าและเจ้าคืออะไร” ลู่เจี้ยชี้ไปที่ร่างกายของตัวเอง และค้อนมองนาง

 

 

เจียงหลีปากกระตุก ค่อยๆ กล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ ตอนตื่นขึ้นก็เป็นเช่นนี้แล้ว”

 

 

ลู่เจี้ยยิ่งหรี่ตามอง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจียงหลีมีสิ่งที่ปิดบังเขา แต่ปิดบังอะไรเขาอยู่กันแน่

 

 

พลังจิตของเขาเริ่มฟื้นฟูมาบ้างแล้ว ขณะที่เขามั่นใจว่าเจียงหลีปิดบัง เขาใช้พลังจิตเพ่งไปที่นาง

 

 

ทันใดนั้นเขาค่อยๆ ลืมตาโตขึ้นส่งเสียงตกใจออกมา “ได้ทะลุไปอีกขั้นแล้วหรือ”

 

 

คุณชายไก่อ่อนอย่างเขา ทำไมถึงได้รู้ว่าข้าข้ามขั้นแล้ว! เจียงหลีแอบตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางหลอมรวมกับเลี่ยเทียนซื่อต่อหน้าลู่เจี้ย เขารู้ถึงสภาพขีดพลังของนางซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ในครั้งนี้ล่ะ นางไม่ได้ปล่อยเนตรญาณมาแม้แต่น้อยกลับถูกเขาสัมผัสได้

 

 

“ข้าตื่นขึ้นมา ก็เป็นเช่นนี้แล้ว” เจียงหลีกางมือออก และทุบโถจนแตกละเอียด

 

 

ถึงกระนั้น นางเป็นคนที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ แล้วลู่เจี้ยจะทำเช่นไรเล่า

 

 

พอตื่นขึ้นมา พลังของเจียงหลีได้เพิ่มขึ้นอีกระดับ

 

 

พอตื่นขึ้นมา ร่างกายของพวกเขากลับมีคราบสกปรกเพิ่มขึ้นมา

 

 

ขณะที่หลับไป เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่

 

 

ยังมีอีก…ลู่เจี้ยคิดเงียบๆ ครั้งนี้โรคของเขากำเริบ แต่กลับไม่ได้เจ็บปวดเหมือนคราวก่อน หลังจากตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเหมือนครั้งก่อน เกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

มีเรื่องราวบางอย่าง ที่ดูเหมือนว่าหลังจากที่พบเจียงหลีแล้ว ดูแปลกประหลาดไป

 

 

“นี่ เจ้ารู้ไหมว่าเนี่ยนซือคืออะไร” เจียงหลีเห็นลู่เจี้ยเงียบเลยถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางจำได้ ว่าเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อต้องเป็นเนี่ยนซือก่อนถึงจะสามารถควบคุมได้ ยังต้องเป็นถึงระดับเนี่ยนไซว่ถึงจะได้เลื่อนระดับ

 

 

คำถามของเจียงหลีรบกวนความคิดของลู่เจี้ย เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจียงหลี เหมือนกับว่ากำลังถามแบบไร้เสียง เหตุใดเจียงหลีถึงได้ถามเกี่ยวกับเนี่ยนซือ

 

 

แต่เขาก็ตอบกลับไป “หลังจากเบิกเนตรญาณแล้วก็ฝึกฝนเป็นหลิงซือ แต่ถ้าปลุกเนตรญาณไม่สำเร็จ แต่มีพลังจิตที่แกร่งก็สามารถฝึกฝนจนเป็นเนี่ยนซือ เนี่ยนซือนั้นหายากและมีวิธีรับมืออย่างลึกลับ”

 

 

“เจ้าเป็นเนี่ยนซือหรือ” ทันใดนั้นเจียงหลีก้าวไปข้างหน้า แววตาที่สว่างสดใสจ้องมองพร้อมกับถามที่ลู่เจี้ย

 

 

ดูเหมือนนางจะนึกไปถึงตอนที่ทั้งสองประทะกัน เป็นที่มาของพลังลึกลับนั้น!

 

 

ลู่เจี้ย เป็นเนี่ยนซือ!

 

 

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ปลุกเนตรญาณ แต่สามารถอ่านจิตได้!

 

 

คำตอบนั้น เจียงหลีได้ตอบถูกแล้ว แต่ว่า นางต้องการที่จะให้ชายคนนี้ยอมรับ

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มเบาๆ ลักษณะยิ่งงดงามขึ้นไปอีก เขาไม่ได้ปฏิเสธก็เท่ากับว่าเขายอมรับแล้ว

 

 

มิน่าล่ะ เขาดูระดับพลังของข้าออก! เจียงหลีถอนหายใจและคิดในใจว่าลู่เจี้ยซ่อนได้อย่างลึกลับ คาดไม่ถึงว่าเขาจะปิดบังผู้คนได้

 

 

เจียงหลีไม่ได้ถามลึกลงไป นางถามเพียงคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวนาง “ท่านสามารถสอนข้าฝึกฝนพลังจิตได้หรือไม่”

 

 

“เจ้าอยากจะเป็นเนี่ยนซืออย่างนั้นหรือ” ลู่เจี้ยยิ้มและมองไปที่นาง

 

 

เจียงหลีพยักหน้า “ท่านเคยบอกว่า ถ้าไม่อยากโดนคนอื่นดูถูก ก็ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ”

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มกว้างขึ้น ยิ่งทำให้คาดเดาอะไรไม่ได้

 

 

เขาไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง ทำให้เจียงหลีจับความคิดของเขาไม่ได้

 

 

“เจ้ากลับไปฝึกที่ถ้ำเก้าปีศาจก่อน เรื่องเนี่ยนซือค่อยว่ากันอีกทีหลังจบงานประลองชิงเจียว” เป็นคำตอบที่ลู่เจี้ยให้กับนาง

 

 

แววตาเจียงหลีวูบไหวด้วยความสงสัย แต่ก็พอจะเข้าใจได้

 

 

เขาต้องการดูตัวเองแสดงฝีมือในงานประลองชิงเจียว!

 

 

เจียงหลีพยักหน้า ถือเป็นการยอมรับการตัดสินใจของเขา “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านรู้จักหนอนชนิดหนึ่งที่เป็นสีดำ มันมีพิษและมาพร้อมกับแสงสว่างหรือไม่”

 

 

เจียงหลีอธิบายถึงเรื่องที่นางถูกหนอนทรมานปางตายให้ลู่เจี้ยฟัง ไม่รู้ทำไมนางต้องคิดว่าลู่เจี้ยที่เฉลียวฉลาดปานนั้น ไม่น่าจะมีคำถามอะไรที่ตอบไม่ได้

 

 

แน่นอน ลู่เจี้ยไม่ทำให้นางผิดหวัง

 

 

“ที่เจ้าบอกน่าจะหมายถึงหนอนไม้กระดูกใช่หรือไม่” ลู่เจี้ยยักคิ้ว “แมลงชนิดนี้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว มีการบันทึกไว้เพียงแค่ในหนังสือโบราณ ตามตำนาน พิษของมันสามารถเข้าสู่โครงกระดูก ทำให้โครงกระดูกแหลกละเอียด ทำให้คนทรมานปางตาย แล้วนี่เจ้ารู้จักแมลงชนิดได้อย่างไร”

 

 

“รู้โดยบังเอิญ” ได้รู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการคำตอบ เจียงหลียิ้มแววตาให้ความสนใจ

 

 

ลู่เจี้ยหรี่ตามอง จ้องไปที่ใบหน้าของนาง

 

 

ความรู้สึกเช่นนั้นมาอีกแล้ว!

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นทำให้เขามีความคิดที่แปลกประหลาดไปจากเดิม อยากจะฉีกใบหน้าที่อ่อนเยาว์นี้ของเจียงหลีออก ลองดูว่าภายใต้ใบหน้านี้จะมีเสน่ห์เย้าหยวนเพียงไหน

 

 

“รู้โดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ” ลู่เจี้ยสงบความคิดนั้นลง กระซิบเสียงทุ้มให้กับคำตอบของเจียงหลี ดีมาก ความลับในตัวนาง ยังไม่ทันได้ขุดออกมาหมด ดูเหมือนว่าจะมีความลับใหม่เพิ่มขึ้นมาแล้ว

 

 

 

 

การลอบสังหารครั้งนั้น สงบลงตั้งนานแล้ว

 

 

ฆาตกรตายทันทีไม่มีใครรอด ผู้บงการเบื้องหลังคือใคร ลู่เจี้ยก็ขี้เกียจที่จะไปสืบ หลังจากที่มาถึงห้องมืด เจียงหลีมองเขามากขึ้นและได้รู้เกี่ยวกับเงาองครักษ์ของลู่เจี้ยมากขึ้น

 

 

จากนั้นนางก็ถูกลู่เจี้ยส่งตัวไปฝึกฝนต่อที่ถ้ำเก้าปีศาจ

 

 

ส่วนบทสนทนาของนางกับลู่เจี้ยในห้องมืดนั้น เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างมีเรื่องที่ปิดบังกันจึงไม่ได้ดำเนินต่อไป

 

 

กลับถึงถ้ำเก้าปีศาจ ลู่จ้านพอเห็นเจียงหลีอีกครั้ง มีท่าทางตกใจ จ้องไปที่เจียงหลี

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจที่เจียงหลีในวันนี้เป็นหลิงซื่อระดับห้า!

 

 

“ทุกวันหลังจากที่เจ้าเรียนรู้การฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว เวลาที่เหลือสามารถมาที่ห้องทักษะการต่อสู้ ตั้งแต่ชั้นสามลงไป เจ้าสามารถมาเปิดอ่านการฝึกฝนทักษะได้อย่างอิสระ” ขณะลู่จ้านพาเจียงหลีไปยังถ้ำเก้าปีศาจ ได้แนะนำสถานที่เก็บทักษะการต่อสู้ให้นาง

 

 

ในห้องทักษะการต่อสู้มีทั้งหมดห้าชั้น ในวันนี้เจียงหลีได้รับสิทธิ์เข้าไปได้สามชั้นแล้ว

 

 

“การเปิดชั้นของห้องทักษะการต่อสู้นั้น กำหนดไปตามการฝึกฝนของเนตรญาณ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถฝึกฝนถึงหลิงซื่อระดับเก้าก็สามารถเข้าฝึกในชั้นที่สี่ได้ หลังจากที่บรรลุเป็นหลิงเจี้ยงถึงจะสามารถเข้าชั้นที่ห้าได้ ทักษะการต่อสู้ของที่นี่ล้วนแต่เป็นทักษะการต่อสู้มานะสร้าง ทักษะการต่อสู้นั้นแบ่งเป็นทักษะพรสวรรค์ ซึ่งได้มาแต่กำเนิด และอีกทักษะคือทักษะมานะสร้าง เป็นทักษะที่ฝึกฝนสร้างขึ้นมาในภายหลัง เจ้าหลอมรวมกับวิญญาณยุทธ์แล้ว คิดว่าเจ้าคงเข้าใจทักษะพรสวรรค์แล้ว ส่วนทักษะมานะสร้างนั้น ถูกกำหนดสร้างขึ้นโดยเหล่าบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกฝนบำเพ็ญมา ทักษะการต่อสู้เหล่านี้แบ่งอาณาเขตตามความวิจิตรพิสดาร คือระดับสามัญ ระดับพิเศษ ระดับหายาก ระดับตำนาน ทั้งหมดสี่ระดับ ในสี่ระดับนี้ ระดับสามัญและระดับพิเศษนั้นแบ่งได้อีกเป็นอีกหกระดับย่อย”

 

 

เจียงหลีฟังย่างละเอียดและตกใจอึ้งพูดไม่ออก การแบ่งระดับของทักษะการต่อสู้ซับซ้อนอะไรเช่นนี้ ช่างแบ่งได้อย่างเหมาะสมมาก

 

 

ลู่จ้านกล่าวต่อ “ทักษะการต่อสู้ในชั้นที่สามนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นทักษะสามัญระดับสามขึ้นไป สำหรับชาวบ้านทั่วไปแล้ว นั่นนับว่าพบเห็นได้ยากแล้ว ส่วนชั้นที่สี่ เป็นทักษะสามัญระดับสี่ถึงหก ชั้นห้าคือทักษะการต่อสู้พิเศษ และทักษะการต่อสู้นั้นแบ่งตามประเภทของการฝึกฝน โดยมีประเภทจู่โจม ป้องกัน ช่วยเหลือ ท่าร่าง และประเภทเวทย์มนตร์ ในประเภทต่างๆ นี้ เวทย์มนตร์ถือว่าอยู่ในระดับหายากหรือแม้กระทั่งอยู่ในทักษะระดับตำนาน”

 

 

—–

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset