ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 42 เดือนละครั้ง

 

 

ลู่จ้านแนะนำเจียงหลีอย่างละเอียด เพื่อให้นางมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้มานะสร้างมากยิ่งขึ้น

 

 

ตามที่ลู่จ้านกล่าวในราชวงศ์โฮ่วจิ้นแม้ว่าจะเป็นราชวงศ์ก็ยากที่จะครอบครองทักษะการต่อสู้ระดับหายาก อย่างมากสุดก็คือทักษะการต่อสู้พิเศษในระดับหก

 

 

เห็นได้ว่าทักษะการต่อสู้ของระดับหายากนั้นพบเห็นได้ไม่มาก ไม่ต้องเอ่ยถึงระดับตำนานที่อยู่เหนือระดับหายากเลย ไม่น่าแปลกที่ผู้คนแบ่งระดับให้แค่ทักษะต่อสู้ของระดับสามัญกับระดับพิเศษเท่านั้น แต่ทักษะการต่อสู้ของระดับหายากระดับตำนานนั้นกลับไม่ได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมใดๆ

 

 

“เนตรญาณดวงที่หนึ่งของเจ้าจะเป็นประเภทการจู่โจม เน้นต่อสู้เป็นหลัก ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกทักษะการต่อสู้แบบท่าร่าง จำไว้ อย่าโลภมาก ตอนนี้ห่างจากงานประลองชิงเจียวเพียงแค่สองเดือนกว่า แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เก่งกล้า แต่ค้นคว้าสองถึงสามทักษะก็เกินขีดจำกัดแล้ว หลังจากงานประลองชิงเจียว เจ้ายังมีเวลาเรียนรู้ทักษะอย่างอื่น ดังนั้นอย่าไปเสียพลังงานและเวลากับเรื่องที่มันเป็นไปได้ยาก” ลู่จ้านเตือน

 

 

เจียงหลีเข้าใจ เขากำลังเตือนตัวนางว่าอย่าโลภ อยากเรียนรู้ทุกทักษะไปหมดสุดท้ายจะรู้แค่ผิวเผิน

 

 

“ดี ข้าขอตัวก่อน หลังจากที่เลือกทักษะการต้อสู้เสร็จแล้ว ให้เจ้าไปฝึกฝนปฏิบัติเอง ถ้าพบเจอเรื่องอะไรที่ยากจะเข้าใจค่อยมาหาขา” ลู่จ้านมอบหมายคำสั่งให้นางและเดินออกจากห้องทักษะการต่อสู้ไป

 

 

ขณะนั้น ห้องทักษะการต่อสู้ไม่มีใครอื่น เจียงหลีไม่รู้ว่าเพราเหตุอะไร นางรู้สึกว่าแม้ลู่เจี้ยจะให้นางเข้าฝึกเป็นผู้อารักขา แต่ว่า สำหรับการฝึกฝนของนางนั้นก็มีความพิเศษอยู่ไม่เหมือนกับผู้อารักขาคนอื่น หรือว่า…เป็นเพราะสัญญานั่น

 

 

เจียงหลีคิดถึงสิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้

 

 

นั่นก็เป็นตอนหลังจากที่หลอมรวมกับเลี่ยเทียนซื่อแล้ว ลู่เจี้ยถึงจะเปิดเผยกับนางอย่างตรงไปตรงมา ทั้งสองได้ทำสัญญากัน ตระกูลลู่จัดเตรียมทรัพยากรการฝึกให้นาง ในอนาคตถ้านางมีความเก่งกาจ ต้องทำประโยชน์แก่ตระกูลลู่

 

 

อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ เจียงหลีจึงไม่เกิดความลังเล

 

 

ความสงสัยของนาง ถูกทักษะการต่อสู้ของห้องฝึกทักษะดึงดูดอย่างรวดเร็ว

 

 

ทักษะการต่อสู้มีมากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ระดับจะไม่สูงมากแต่ก็เพียงพอที่จะเห็นพื้นหลังของจวนลู่แล้ว ต้องรู้ด้วยว่านี่เป็นทรัพยากรที่มีไว้สำหรับผู้อารักขาประจำตระกูลเท่านั้น

 

 

ทรัพยากรสำคัญเช่นนั้น ถ้าว่ากันตรงๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีไว้ให้กับผู้สืบสายเลือดโดยตรงเท่านั้น

 

 

ลู่เจี้ยไม่สามารถปลุกเนตรญาณได้ แต่อย่าลืมว่าเขายังมีน้องชายที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง!

 

 

ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง เจียงหลีเพียงแค่มองผ่านๆ ก็ถอดใจแล้ว เป้าหมายของนางอยู่ที่ชั้นที่สาม

 

 

แน่นอน ด้วยนิสัยของนาง ชั้นที่สี่นางก็อยากไปลองดูแต่กลับมีพลังงานบางอย่างขวางอยู่ข้างนอก ไม่ว่านางจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถขึ้นบันไดได้

 

 

ดังนั้น สุดท้ายนางก็ถอดใจก็เริ่มต้นฝึกที่ชั้นสาม

 

 

“หมัดพิฆาตขั้นหก” พลิกอ่านมาครึ่งวัน เจียงหลีถูกทักษะการต่อสู้ที่ถูกบันทึกว่าเป็นทักษะสามัญระดับสามดึงดูดเข้าแล้ว!

 

 

“หมัดพิฆาตขั้นหก เป็นการฝึกฝนระเบิดพลังหมัด ถ้าฝึกฝนขั้นสูงได้แล้วจะสามารถปล่อยพลังหมัดระเบิดได้ถึงระดับหก สามารถจัดการคู่แข่งในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย พลังของมันแท้จริงสามารถจัดอยู่ในระดับหกของทักษะระดับสามัญ แต่เพราะว่าน้อยคนนักที่จะฝึกฝนไปจนถึงระดับหกได้ ส่วนใหญ่จะฝึกได้ถึงแค่ระดับที่สามจึงถูกจัดอยู่ในทักษะสามัญระดับที่สาม ผู้ฝึกฝน ต้องมีพลังของโครงกระดูกตามที่กำหนด ถ้าโครงกระดูกไม่แข็งแกร่งหรือฝืนฝึกฝน อาจทำให้โครงกระดูกแตกร้าวจะเป็นอันตราย ต้องระวัง!” เจียงหลีอ่านหน้าแรกของตำราออกมา ดวงตายิ่งส่องแสงประกาย

 

 

ทักษการต่อสู้นี้ นางชอบ!

 

 

และโครงกระดูกของนางก็ได้ทำการล้างไขกระดูกแล้ว จะแข็งแกร่งกว่าโครงกระดูกของคนทั่วไป การฝึกฝนหมัดพิฆาตขั้นหกไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

 

 

“เจ้านี่แหละ” เจียงหลีนำทักษะการต่อสู้ของหมัดพิฆาตขั้นหกยัดเข้าไปในอ้อมแขน และเริ่มฝึกฝน

 

 

อยู่ในห้องเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มาเกือบครึ่งวัน ในที่สุดเจียงหลีก็ได้ออกจากข้างใน ในอ้อมแขนของนาง ถือหนังสือทักษะการต่อสู้สามเล่ม นอกเหนือจากหมัดพิฆาตขั้นหกแล้ว ยังมีหนังสือการโจมตี ชื่อว่าฝ่ามือพันคลื่น เป็นทักษะสามัญระดับสาม หลังจากฝึกฝน ขณะต่อสู้สามารถปิดการหลบหนีของศัตรู แล้วใช้หมัดพิฆาตขั้นหกจัดการต่อ ส่วนที่เหลือนั้น ก็ทำตามที่ลู่จ้านเตือน เลือกทักษะการต่อสู้แบบท่าร่าง ฝึกฝนวิชาตัวเบา มีชื่อว่าหนึ่งย่องพันก้าว เหมาะสมกับการฝึกฝนของหญิงสาวและจัดอยู่ในทักษะสามัญระดับที่สามเช่นกัน

 

 

หยิบหนังสือทักษะการต่อสู้สามเล่มแล้วเจียงหลีก็กลับไปยังบ้านหินของตัวเอง เริ่มการฝึกฝนที่ทรหด

 

 

งานประลองชิงเจียวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางมีเวลาไม่มากและนางก็มีความปรารถนาที่อยากจะได้รับพลังมากกว่าใคร ไม่เพียงเพื่อปกป้องตัวเองแต่เพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกอีกด้วย

 

 

ทุกวันนางทำตามในสิ่งที่ลู่จ้านขอ เสร็จสิ้นการฝึกฝนตามที่กำหนด เวลาที่เหลือก็ไม่ได้ไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นล้วนแต่หลบซ่อนไตร่ตรองทักษะการต่อสู้ในบ้านหินของนาง

 

 

ขบวนทุบพันครั้งฝึกร้อยครา ไม่เพียงแต่เป็นการขัดเกลาร่างกายเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้ได้กับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ได้ด้วย

 

 

ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว

 

 

ตู้ม!

 

 

ในบ้านหินที่เจียงหลีอาศัยอยู่ ก้อนหินที่สูงเท่าคนแตกกระจายตกลงสู่พื้น

 

 

หลังจากฝุ่นตกตะกอน เจียงหลีเก็บหมัดขมวดคิ้วเบาๆ เดินตรงไปยังก้อนหินที่แหลก นั่งลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อนและชั่งน้ำหนักในมือ

 

 

“หกหมัดหนัก ข้ายืนหยัดต่อยพันหมัดในทุกวัน จนวันนี้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วข้ายังทำได้เพียงแค่สามหมัดหนัก ฝึกฝนยากเสียจริง” เจียงหลีบ่นพึมพำ

 

 

ประโยคนี้ถูกเซียวเซียวที่เดินผ่านได้ยินโดยบังเอิญ แทบจะล้มหัวฟาดไม่เป็นท่า เขามองเจียงหลีที่นั่งบนหินราวกับสัตว์ประหลาด ทนไม่ไหวจึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เจียงหลี เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่ใต้เท้าลู่จ้านฝึกฝนหมัดพิฆาตขั้นหก จนถึงระดับที่สามต้องใช้เวลาฝึกนานเท่าไหร่ แล้วก็ได้ทำลายสถิติของผู้อารักขาตระกูลลู่แล้วด้วย”

 

 

เจียงหลีได้ยินเสียงที่ส่งผ่านมา มองไปยังเซียวเซียว

 

 

หนึ่งเดือนผ่านไป ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังอ่อนวัย แต่อารมณ์ของเขาเย็นลงไปมาก

 

 

นางส่ายหัวอย่างจริงใจก็ได้ยินเสียงกัดฟันกรามของเซียวเซียวกล่าวขึ้น “ครึ่งปี”

 

 

เอ่อ!

 

 

เจียงหลีนิ่ง กะพริบตาต่อเขา

 

 

“ดังนั้น เจ้าต้องหน้าหนาเพียงไหน ถึงคิดว่าตัวเองจะสามารถฝึกฝนถึงระดับสามหมัดหนักได้ในหนึ่งเดือน เป็นเพราะว่าหมัดพิฆาตขั้นหกนั้นฝึกง่ายเกินไปหรือ” เซียวเซียวทนไม่ไหวเผลอจนคำรามออกมา หันหลังเดินจากไปด้วยความกริ้ว

 

 

เขายอมรับแล้ว ว่าเขาอิจฉา!

 

 

เขาอิจฉาในพรสวรรค์ของเจียงหลีแต่ก็ไม่อาจไม่ชื่นชมความพยายามของนาง ที่ต่อยวันละพันหมัด! เขาเองก็ฝึกหมัดพิฆาตขั้นหกเหมือนกัน แต่ต่อยได้เพียงสามร้อยหมัดก็รู้สึกว่ากระดูกจะแตกร้าวแล้ว ไม่สามารถทำต่อไปได้ ดังนั้นจนป่านนี้เขาเพิ่งทำได้เพียงหมัดหนักระดับหนึ่งเท่านั้น

 

 

เจียงหลีมองเซียวเซียวเดินจากไปด้วยความไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าอะไร

 

 

หมัดพิฆาตขั้นหก นางคาดหวังว่าจะสามารถใช้ได้ถึงระดับที่หก ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่พอใจ

 

 

“เอ๊ะ” ทันใดนั้น เจียงหลีขมวดคิ้วและส่งเสียงออกมา นางปล่อยมือออกก้อนกินก็หล่นลง ขาทั้งคู่ของนางก็อ่อนแรงจนล้มลงไปกองบนพื้น

 

 

มาอีกแล้ว เจียงหลีม้วนตัวจนเป็นก้อน

 

 

ความเจ็บปวดที่มาจากวิญญาณ ทำให้นางตัวสั่นไปหมด นี่คือผลข้างเคียง หลังจากที่นางปลุกเนตรญาณเสร็จก็มักจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกับกลุ่มแสงเหล่านั้นแล้ว

 

 

หลังจากที่นางรวบรวมพลังฟ้าดิน ก็เคยเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ ผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนก็กลับมาอีกแล้ว!

 

 

“ให้ตายสิ มาได้ตรงเวลายิ่งกว่าประจำเดือนเสียอีก” เจียงหลีหมอบลงกับพื้น กำปั้นทุบดินอย่างดุเดือดแสดงถึงความไม่พอใจ

 

 

—–

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset