เจียงหลีฝันอยู่!
เป็นฝันที่น่าอาย!
นางฝันว่าตัวเองกลับไปที่หลินชวน ประเทศกู่อู อาณาจักรแม่มดโบราณของนาง ในฝันนี้น นางยังคงสูงส่ง เป็นราชินีที่พสกนิกรสวามิภักดิ์ และในวันนี้นางได้แต่งงานแล้ว
นางได้แต่งงานกับพระสวามีของนาง หลังจากพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่จบลง นางสวมใส่เสื้อผ้าที่เลิศหรูเดินกลับห้องบรรทมของตัวเอง
ตกแต่งสวยงาม ท่ามกลางบรรยากาศที่มีความสุขในห้องบรรทม เตียงหงส์ทองที่ใหญ่จนสามารถนอนได้ถึงสี่ห้าคน มีเงาคนรางๆ นั่งอยู่ ม่านผ้าตกลงมารอบด้าน บดบังการมองเห็นของนาง ทำให้นางมองลักษณะท่าทางไม่ชัด
เจียงหลียกมือขึ้นโบกไปมา นางสนมทั้งหมดที่อยู่ทั้งในและนอกห้องบรรทมถอยออกไป หลังจากประตูห้องบรรทมปิดลง ในห้องบรรทมเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
เจียงหลีก้าวเท้า เดินไปที่เตียงหงส์ทองอย่างช้าๆ นางยกม่านผ้าขึ้นทีละชั้น เดินเข้าใกล้คนที่อยู่ที่เตียง ทันใดนั้น ลมพัดเข้ามา ทำให้ในห้องมืดสนิท
ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ ลมนี้ทำลายความสนใจของนาง เพียงแต่ว่านางไม่ทันได้จุดไฟ ข้อมืองของนางก็ถูกคนที่อยู่ที่เตียงจับไว้ และดึงนางมาบนเตียงหงส์ทอง จนนางตัวเอนลงมา
“ฝ่าบาท ได้โปรดให้ข้าปรนนิบัติฝ่าบาทก่อนเข้านอน” ท่ามกลางความมืด นางได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เสียงนี้มันช่างคุ้นจริงๆ! ว่าแต่ คือใครกัน
แต่ว่า ในเมื่อได้เป็นพระราชสวามีของนาง ก็น่าจะเป็นคนที่นางยอมรับ คิดได้เช่นนี้ นางเลิกระแวง แขนที่อ่อนนุ่มทั้งสองข้าง กอดที่คอผู้ชายเอง พูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนว่า “พระสวามีของข้าพูดได้ดียิ่ง ยามกลางคืนในฤดูใบไม้ผลิมีค่ามาก พวกเราอย่ามัวเสียเวลาที่ดีไปเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากนาง
อื้ออ กลิ่นนี้ ข้าชอบ ลมหายใจที่คุ้นเคย ทำให้เจียงหลีไม่ขัดขืนเขาอีก
ทั้งสองคนอยู่หลังม่านผ้า บนเตียงหงส์ทอง อารมณ์ชั่ววูบฉุดไม่อยู่ แล้วก็ทำเรื่องน่าอาย
ความฝันนั้นเหมือนจริงมาก ยากที่รู้ว่าจริงหรือปลอม
ในตอนที่อารมณ์รักแผ่วลง ด้านนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทำให้ความมืดมิดในห้องบรรทมสลายไป เจียงหลีลืมตาอย่างช้าๆ มองพระสวามีของตนอย่างหื่นกระหาย
นางอยากเห็นว่าเจ้าชายพระสวามีของตัวเองว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร
ทันใดนั้น ดวงตาของนางหดลงเต็มไปด้วยความตกใจ ลู่เจี้ย! เป็นลู่เจี้ยได้อย่างไร
ความตกใจทำให้เจียงหลีตื่นจากฝันในทันที นางลืมตาทั้งสองข้าง ใบหน้าที่เข้ามาในสายตานาง งดงามจนยากที่จะเทียบ แต่ทำให้นางตกใจอีกครั้ง
ลู่เจี้ย!
ลู่เจี้ยอีกแล้ว!
“ตื่นแล้วหรือ ปล่อยมือได้หรือยัง หรือว่าเจ้าจะฉวยโอกาสลวนลามข้า” ดวงตาที่สว่างไสวลืมขึ้นในทันที ความตกใจในแววตานั้น มากจนเรียกได้ว่าเป็นความตื่นตกใจมาก ทำให้ลู่เจี้ยสงสัยว่านางเป็นอะไร
แต่เขาเพียงถอนใจหาย ตอนที่นางตื่นมา ไม่รู้ว่าตัวเองขยับร่างเพียงเบาๆ
นึกถึงเมื่อครู่นี้ เขาลูบหน้านางเบาๆ ด้วยความหลงใหล ลู่เจี้ยรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ
ได้ยินคำพูดของเขา เจียงหลีปล่อยมือเหมือนกับถูกไฟดูด ทำให้ลู่เจี้ยสามารถยืนขึ้นได้ ถอยหลังหนึ่งก้าว
ตอนนี้ นอกบ้านหินมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบลอยมา ลู่จ้านพาหมอเข้ามา
เจียงหลีมองลู่จ้าน แล้วก็มองลู่เจี้ย นางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
ณ เวลานี้ ร่างกายไม่ได้เจ็บปวดอะไรแล้ว นอกจากอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง ที่เหลือก็ปกติดี
การคาดเดาได้รับการยืนยัน เจียงหลีมองลู่เจี้ยด้วยดวงตาแวววาว เพียงแต่หวาดผวานิดหน่อย ถึง อย่างไรความฝันเมื่อครู่นี้ของนางก็ยากที่จะเอ่ยปากเล่าให้ใครฟังได้
แล้วก็คนในความฝันที่รักกันกับนางอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ก็คือลู่เจี้ย
พอนึกถึงเรื่องนี้ เจียงหลีก็รู้สึกเขินอาย
ยังดีที่หน้านางหนายิ่งนัก กระแอมเบาๆ ถามอย่างคนไร้ความผิดว่า “เอ๊ะ นายน้อย พวกท่านมาทำอะไรในห้องของข้า”
ลู่เจี้ยยิ้มมุมปาก เขาไม่พลาดที่จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กผู้หญิงคนนี้ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำให้นางเผยความเขินอายออกมาชั่วแวบหนึ่ง แต่นางในตอนนี้ท่าทางเหมือนคนได้ใจ จึงแกล้งโง่ เพื่อให้นางรู้สึกสนุก
เด็กผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์แบบนี้ เป็นราชินีจริงๆ หรือ
“นายน้อย นี่…” ลู่จ้านมองทั้งสองคนที่อยู่ในห้อง ขมวดคิ้วแล้วถามว่ามีอะไรกัน ในตอนที่เขาจากไป เจียงหลีมีความผิดปกติจริงๆ แต่ตอนนี้ผ่านไปแค่แปบเดียว ก็ทำเป็นไม่มีอะไรแล้ว
ลู่เจี้ยปัดแขนเสื้อ พูดอย่างคลุมเครือว่า “ให้หมอตรวจดูอาการนางหน่อย”
“ไม่ต้อง” เจียงหลีปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด
แต่ว่า สายตาที่ยากจะต่อต้านของลู่เจี้ยมองมา เจียงหลียิ้มมุมปาก ยื่นข้อมือออกมาอย่างไม่ยินยอม ต้องผ่านด่านนี้ไป นางเป็นกังวลนิดหน่อย กลัวว่า หมอจะรู้ความผิดปกติของร่างกายนาง
แต่ว่าหลังจากที่หมอตรวจแล้ว พูดว่าเป็นเพราะการฝึกพลังที่มากเกินไป
นี่หมายความว่า
เจียงหลีเลิกคิ้ว ไม่ได้อธิบายอะไร แต่นางรู้ว่าอย่างไรลู่เจี้ยก็ไม่เชื่อ
คิดไม่ถึงว่า!
ลู่เจี้ยพูดกับลู่จ้านว่า “พาหมอกลับไปเถิด”
ลู่จ้านพยักหน้า นำคนเดินถอยออกไป
ตอนนี้ลู่เจี้ยมองนาง เหมือนกับรอคำอธิบายจากนาง
“เฮ้อ” เจียงหลีอยากจะหลบสายตาที่ขู่เข็ญนี้ แต่เขาไม่ให้โอกาสนางเลย “อาการที่แสดงออกมาภายหลังเบิกเนตรญาณ มักจะกำเริบอยู่บ่อยๆ”
“จะพูดก็พูดให้หมด” ลู่เจี้ยพูดอย่างเย็นชา ทำให้นางเลิกปิดบัง
เจียงหลีหัวเราะ ตอบว่า “แท้จริงแล้วร่างกายของท่านมีความลับอะไร ทำไมลมปราณของท่านถึงสามารถบรรเทาอาการความเจ็บปวดของข้าได้”
น้ำเสียงของนางในตอนนี้ ราวกับราชินี ลู่เจี้ยคิดในใจ
เพียงแต่ว่าคำพูดของเจียงหลีเตือนสติเขา ครั้งก่อน ตอนที่เขาป่วย เจียงหลีอยู่ข้างๆ เขาพอดี เขารู้สึกได้ว่าอาการป่วยทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด พลังที่อยากจะทำลายเขาเหล่านั้น เหมือนถูกคนดูดออกไป ทำให้เขาเจ็บปวดน้อยลงมาก
หรือว่าเจียงหลีจะมีส่วน ลู่เจี้ยคาดเดาในใจ
เจียงหลีจ้องมองเขา สายตาที่กดขี่ผู้อื่นนั้น เหมือนสายตาเมื่อครู่นี้เลย
ลู่เจี้ยยิ้ม “ร่างกายข้าป่วย ที่เรียกว่าความลับน่ะ ใครๆ ก็รู้”
เจียงหลีขมวดคิ้ว ชายผู้นี้ไม่ได้พูดความจริง แต่ว่าถ้าใจเขาอยากจะปิดบัง ถึงนางจะถามอย่างไรก็ไม่ได้ความจริงหรอก
ลู่เจี้ยไปแล้ว ทิ้งความสงสัยไว้ให้เจียงหลี
ครั้งนี้ลู่เจี้ยมาได้เหมาะเจาะ นางก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงมาปรากฏที่นี่
แต่ว่าวันที่สอง ลู่จ้านมาถึงบ้านหินตั้งแต่เช้า
“เจียงหลี” เสียงของลู่จ้านแทรกเข้ามาในตอนท้ายของการฝึกพลังของเจียงหลี
นางลืมตาแล้วขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมาจากเตียง เปิดประตูแล้วเดินออกไป
“ใต้เท้าลู่จ้าน”
ลู่จ้านมองนาง ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มที่เย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็แค่การฝึกพลังธรรมดา ก็ทำให้เจ้าสูญเสียพลัง ดูแล้วพลังกายและพลังใจยังไม่แข็งแกร่งพอ นับตั้งแต่วันนี้ การฝึกในทุกๆ วัน เจ้าต้องฝึก มากกว่าคนอื่นสองเท่า”
เจียงหลีแววตาเป็นประกาย สีหน้าเย็นชา
“ยังไม่หมด ก่อนการประลองชิงเจียวครึ่งเดือน จะฝึกฝนประสบการณ์ในการลงสนามประลองของเจ้า เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อม” ทันใดนั้น ลู่จ้านยิ้มให้เจียงหลีด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง
—–