ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาดีขนาดนี้ได้เยี่ยงไร
แววตาของเจียงหลีหมกมุ่น แต่ยังคงความสดใส
“จ้องพอหรือยัง” หญิงสาวในอ้อมแขนจ้องมองตนเองอย่างหลงใหล ลู่เจี้ยสังเกตแม้ตัวเองจะไม่ได้นึกรังเกียจเดียดฉันท์ กลับรู้สึกท่าทางของนางไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ ช่างน่ารักยิ่งนัก
“ยังไม่พอ ต่อให้มองทั้งชาติก็ไม่พอ” เจียงหลีส่ายศีรษะช้าๆ ตอบอย่างสัตย์จริง
ลู่เจี้ยหัวใจเต้นกระตุก ตัวเองอารมณ์ดีขึ้นมาได้ก็เพราะประโยคนี้ของนาง เขาลุกขึ้นถอยไปนั่งเงียบๆ และจัดการเสื้อคลุมที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ
เมื่อชายรูปงามถอยหลังไป ดวงตาเจียงหลีฉายแววผิดหวังเล็กน้อย นางยังมองไม่อิ่มเลย!
“อย่างที่ข้าบอกว่ารูปหล่อกินได้ วันนี้ข้าพบว่าคนรูปหล่อหน้าตาดีทำให้ข้าอิ่มได้จริงๆ” เจียงหลียิ้มอย่างหยอกล้อ
กิริยาเช่นนั้นเหมือนนางทาสตรงไหน ยิ่งกว่านั้นคือเหมือนคุณหนูตระกูลมั่งมีตรงไหน
เปลือกตาสีอ่อนดั่งเมฆหมอก นัยน์ตางดงามแวววาวดั่งแก้วหันมามองนางอย่างอ้อยอิ่ง แม่นางคนนี้! นอนบนเตียงของเขาสบายใจเฉิบขนาดนี้ราวกับว่าเป็นเตียงนางเองอย่างไรอย่างนั้น
เจียงหลีสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาและกระแทกแดกดันของลู่เจี้ย แต่กลับทำเป็นไม่สนใจสักนิด อย่างไรเสียนางไม่ใช่เจียงหลีคนเดิม ผู้ชายคนนี้ต่างก็ทราบดี ฉะนั้นทำไมต้องปิดบังต่อหน้าเขาด้วย
“สรุปแล้วเจ้าเป็นราชินีหรืออันธพาลกันแน่” จู่ๆ ลู่เจี้ยหรี่ตามองนางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เอ่อะ!
เจียงหลีหยุดยิ้มคิดในใจ ผู้ชายคนนี้ชอบแกล้งนางอยู่เรื่อย! แต่นางก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ราชินีก็ดี อันธพาลก็ดีล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเจียงหลี ลูกสาวของเจียงหลินเฟิง”
“เจ้าช่างปลงเก่งเสียจริง” ลู่เจี้ยพูดติดตลกแล้วลุกขึ้นจากเตียง
ทันทีที่เขายืนขึ้นเห็นได้ชัดว่าดูสูงมาก เสื้อคลุมตัวกว้างของเขาก็เหวี่ยงไปสองสามครั้งตามการเคลื่อนไหวของเขาทำให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น
เส้นผมดกดำสลวยลู่ไปตามลม แม้กระทั่งเงายังทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความงามไร้ขีดจำกัด
“นี่ สรุปแล้วร่างกายของท่านเป็นอะไรกันแน่” จู่ๆ เจียงหลีก็ถามผู้ที่หันหลังให้
เป็นข้อที่นางสงสัย
ลู่เจี้ยหัวเราะเบาแล้วเอ่ยตอบ “แล้วของเจ้าล่ะ”
“…” เจียงหลีเม้มริมฝีปากมองเงาของเขาด้วยแววตาลุ่มลึกเงียบๆ นางเคยสงสัยเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมันเป็นพลังเหลืออยู่ซึ่งเป็นของคนอื่นไม่ได้ถูกนางกลืนกิน อีกทั้งตอนนี้ที่เริ่มเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ พลังกายของนางไม่เพียงพอจำเป็นต้องดึงพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของลู่เจี้ย
แต่ว่าเรื่องนี้นางไม่สามารถบอกลู่เจี้ยได้
นางรู้ว่าตัวเองมีความลับมากเกินไปแล้ว ต่อหน้าผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้นางไม่สามารถหงายไพ่ต่ำกว่าได้ มิเช่นนั้นจะถูกควบคุมไม่มีโอกาสพลิกตัวหนีทันแน่!
“เจ้ากับข้าต่างมีความลับต่อกันที่บอกไม่ได้ ฉะนั้นก็ไม่ต้องถามอีก วันหลังหากข้าเรียกเจ้าอีกเจ้าก็ต้องมา” ลู่เจี้ยกล่าวเสียงเรียบ
ห้ะ! เรียกให้มาก็มา
จะให้นางเป็นบ่าวอุ่นเตียงจริงหรือเนี่ย!
เหมือนจะรู้สึกถึงการต่อต้านที่มาจากตัวเจียงหลี ลู่เจี้ยหันกลับไปมองอีกครั้ง ใบหน้างามล่มเมืองปรากฏอยู่ตรงหน้าเจียงหลีขยับเข้าไปยิ้มอบอุ่นให้นางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ “เด็กดี”
จากนั้นในขณะที่เจียงหลีต้องสะกดกับรอยยิ้มเขาก็เดินลิ่วออกไป
รอจนกระทั่งเจียงหลีได้สติคืนจากรอยยิ้มนั้น เงาของลู่เจี้ยตรงหน้าไปไหนเสียแล้ว แต่กลับมีเงาเคลื่อนไหวภายนอกผ้าม่าน
“ใครอยู่ข้างนอก” แววตาเจียงหลีเรียบนิ่ง ถามออกไปเสียงต่ำ
“แม่นาง ข้าได้รับคำสั่งจากนายน้อยให้มาตรวจชีพจรแม่นางก่อน” เป็นน้ำเสียงของหมอโอสถนั่นเอง
ตรวจชีพจรหรือ
นางยังดีๆ อยู่ จะตรวจจับชีพจรอะไร
“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าสบายมาก” เจียงหลีปฏิเสธอย่างเย็นชา
แต่ว่าหมอโอสถที่อยู่ด้านนอกกลับไม่ยอมเคลื่อนไหวยังคงยืนหยัด “ร่างกายแม่นางพึ่งถูกพรากพรหมจรรย์ ให้ข้าตรวจดูหน่อยเถิด เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยในภายหลัง อย่างไรเสียนี่เป็นบุญคุณจากนายน้อย แม่นางมิควรเย่อหยิ่งปฏิเสธน้ำใจ”
“…”
อะไรกันเนี่ย!
เจียงหลีตกตะลึง ความโกรธในใจของนางกำลังลุกโชน
นางถูกพรากพรหมจรรย์ไปเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นชัดๆ ว่านางยังเป็นดอกไม้แรกแย้มบริสุทธิ์ผุดผ่องมิใช่หรือ
มารดา…สิ! หากมีคนแพร่ข่าวลือนี้ออกไป ข้าจะฆ่าเขา!
“แม่นางโปรดยื่นมือมานอกผ้าม่านด้วย” หมอโอสถก้าวมาข้างหน้า ยืนหยัดที่จะทำตามคำสั่งของลู่เจี้ย
กร๊อบ!
เจียงหลีกำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกดังลั่น
“ไปให้พ้น” เจียงหลีตวาดลั่น
ร่างของหมอโอสถสั่นสะท้าน มองผ้าม่านด้วยความรู้สึกแปลกๆ เขาไม่เข้าใจแค่นางทาสคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีกำลังแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้
หากเป็นปกติดีเขาคงต้องถอยกลับไปจริงๆ แต่ว่าคำสั่งของนายน้อย เขาไม่กล้าและไม่สามารถขัดคำสั่งได้
“แม่นาง อย่างไรก็ให้ข้าดูหน่อยเถิด อย่าโกรธนายน้อยเลย เพื่อไม่ให้เสียความโปรดปราณจากนายน้อยทั้งยังจะชะตาขาดอีกด้วย” หมอโอสถกล่าวตักเตือน
เจียงหลีแค่นยิ้ม “ข้าอยากเจอลู่เจี้ย”
หมอโอสถขมวดคิ้ว “แม่นางไฉนเรียกชื่อนายน้อยตรงๆ เช่นนั้น อย่างไรเสีย ตอนนี้นายน้อยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จึงสั่งให้ข้ามาตรวจร่างกายแม่นาง นับว่านี่เป็นการปฏิบัติต่อแม่นางอย่างดีแล้ว”
เหอะ!
พูดไม่เข้าหู นางเองก็ขี้เกียจจะฟังแล้ว นางลุกพรวดจากเตียงทะลุออกมาจากผ้าม่านราวกับพายุผ่านหมอโอสถไป
ลู่เจี้ยกำลังอาบน้ำ นางเจอเขาไม่ได้แน่นอน ที่แห่งนี้นางเองก็ไม่อยากอยู่นานมากนัก เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผู้คนที่มองสำรวจด้วยสายตาแปลกๆ
นางสบโอกาสกลับหุบเขาปู้กุย กลับไปยังถ้ำเก้าปีศาจ
เพราะว่าไม่มีคำสั่งจากลู่เจี้ยก็ไม่มีใครขัดขวางนางได้
หลังจากที่ลู่เจี้ยอาบน้ำผลัดผ้าผ่อนได้ยินคนรับใช้รายงานก็ไม่ได้โกรธอะไร เพียงแต่มองไปยังหมอโอสถเพื่อรอคำตอบจากเขา
หมอโอสถยืนอยู่เบื้องล่างของเขา ก้มหัวรายงาน “แม่นางเจียงไม่ยอมให้ข้าตรวจชีพจร แต่ข้าเห็นว่าแม่นางเดินเหินคล่องแคล่ว อารมณ์ฉุนเฉียว ดวงตามีแวว ดูแล้วไม่น่าเป็นอะไรขอรับ”
กล่าวจบเขายังแอบเหลือบมองลู่เจี้ย ในใจคิดไม่ตก นายน้อยผู้งดงามปานเทพเซียนมีเสน่ห์น่าหลงใหล เหตุใดจึงให้ความสนใจเด็กที่ยังไม่ถึงวัยออกเรือนเช่นนี้ หรือว่านายน้อยผู้ไม่เคยเข้าใกล้สตรีจะชอบแบบนี้
คิดได้ดังนั้น ในฐานะที่ตนเองรับผิดชอบเป็นหมอโอสถ จึงอยากเตือนเสียหน่อย “นายน้อย ยกโทษให้ข้าน้อยหากจะขอพูดตามตรง ร่างกายนายน้อยล้ำค่า ไม่ควรหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้น…”
“ยิ่งไปกว่านั้นอะไร”ลู่เจียงเอ่ยเสียงนิ่ง ระหว่างคิ้วราบเรียบดูไม่ออกว่ากำลังยินดีหรือโมโห
หมอโอสถกัดฟันตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น แม่นางเจียงยังไม่ถึงวัยอันควร คงรับแรงรักจากนายน้อยไม่ไหว ยังต้องควบคุมมิเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อการกำเนิดบุตรได้ขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” ลู่เจี้ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้หมอโอสถออกไป
เขาเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีทางรู้ว่าเขาจะฟังคำพูดของหมดโอสถหรือไม่ ในผู้อารักขาซ้ายขวาซึ่งลู่หวาก็อยู่ในนั้น เมื่อฟังบทสนทนาระหว่างหมอโอสถกับนายแล้วเขาก็ได้แต่พูดในใจ ดูท่าทางแต่นี้ต่อไปเวลาเจอเด็กคนนั้นคงต้องเกรงใจสักหน่อยแล้ว
—–