ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 51 ฐานะของนาง

“เรียนท่านเจ้าเมือง องค์หญิงอันผิงเสด็จขอรับ”

 

 

เสียงดังก้องกังวานชัดขึ้น ขัดจังหวะเสวนาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอู๋เชียนจากสำนักหลิงอู่หรือหนานอู๋เฮิ่นจากสถาบันไป๋หยวนหยวน สายตาแสดงถึงความแปลกประหลาดใจพร้อมหันมองไปทางประตู

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงตกตะลึงอยู่ครู่นึง เพราะเขาเองก็ประหลาดใจเช่นกัน

 

 

แต่เขาก็รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว รีบวางแก้วลงพร้อมยืนขึ้น พูดกับผู้อารักขาด้างนอกว่า “ยังไม่รีบเชิญองค์หญิงอันผิงเสด็จอีกหรือ”

 

 

“ไม่จำเป็น” เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้นมาจากนอกประตู

 

 

ตามติดมาด้วยกลุ่มคน เดินเข้าไปในห้องโถง

 

 

ทันทีที่คนเหล่านี้เดินเข้ามา ทุกคนในห้องโถงต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย สายตาจ้องมองไปทางหญิงสาวที่เดินนำหน้า

 

 

นางมีใบหน้าที่สวยดั่งดอกพุดตานที่ไม่มีใครเทียบได้ มวยผมที่ถูกม้วนด้วยความประณีต ปิ่นปักหยกทองที่ดูสง่างาม พร้อมด้วยเสื้อไหมที่ใส่แสดงให้เห็นถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของนาง

 

 

งามก็งามนะ แต่เย็นชาไปหน่อย

 

 

อู๋เชียนกับหนานอู๋เฮิ่นถอนหายใจเล็กน้อย องค์หญิงอันผิงเป็นหนึ่งในสามสตรีที่งดงามที่สุดในโฮ่วจิ้น เรื่องความงดงามไม่ต้องสงสัย เพียงแค่ความเย็นชาที่แสดงบนสีหน้าสายตาที่ปฏิเสธคนที่เข้าหา

 

 

วินาทีที่องค์หญิงอันผิงเดินเข้ามา ทุกคนต่างรู้สึกว่าห้องโถงมีแสงเจิดจรัสขึ้นทันที

 

 

จนนางกวาดสายตา ขมวดคิ้วแสดงถึงความไม่พอใจ ทุกคนต่างสะดุ้งทันที

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงรีบเดินลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมคงโค้งคำนับให้องค์หญิงอันผิง “กระหม่อมไม่ทราบว่าองค์หญิงเสด็จมาถึงแล้ว โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พอพูดเสร็จ ผู้คนต่างกำมือกล่าวต้อนรับ

 

 

“ขอคารวะต้อนรับองค์หญิง”

 

 

ดินแดนหนานฮวงมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่า เมื่อฝึกฝนจนก้าวขึ้นสู่ระดับหลิงเจี้ยงแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้และขุนนางได้ โถงใหญ่นี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกจนถึงระดับหลิงเจี้ยงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงคำนับด้วยมือ มีแต่บ่าวใช้เท่านั้นที่คุกเขาลง

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” มู่หว่านโหรวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากับแววตาที่สงบราบเรียบ สำหรับคำพูดอย่างเป็นมารยาทของเฮ่อเหลียนเฟิง นางก็ตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้ามาครั้งนี้ ไม่ได้แจ้งท่านเจ้าเมืองล่วงหน้าล่วงหน้า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องใส่ใจมากนัก เพียงแค่ว่าที่ข้ามาครั้งนี้ คงต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองหลายวัน ท่านจะสะดวกหรือไม่”

 

 

“สะดวกพ่ะย่ะค่ะ ขอแค่องค์หญิงไม่รังเกียจบ้านกระหม่อมก็เพียงพอ” เฮ่อเหลียนเฟิงกล่าวอย่างรวดเร็ว เขาจะกล้าพูดว่าไม่สะดวกหรือ อย่างไรก็ตามที่บ้านมีคนของสำนักหลิงอู่กับสถาบันไป๋หยวนพักอยู่ มีองค์หญิงอันผิงเพิ่มมาอีกคนก็ไม่ได้แย่ไปกว่านั้นแล้ว

 

 

“ข้ามาโดยกะทันหันก็เป็นการรบกวนมากแล้ว จะรังเกียจได้อย่างไร” มู่หว่านโหรวเอ่ยเบาๆ เพื่อจบการทักทาย เฮ่อเหลียนเฟิงทราบถึงความหมายชัดเจน รีบให้คนไปจัดเตรียมห้องรับรองที่เงียบสงบเพื่อองค์หญิงอันผิงและผู้ติดตามพักอาศัย

 

 

ในเวลาเดียวกันเขาแนะนำอู๋เชียนกับหนานอู๋เฮิ่นทั้งสองแก่องค์หญิงอันผิง

 

 

มู่หว่านโหรวกวาดตามองไปใบหน้าทั้งสอง กล่าวว่า “ผู้เฒ่าอู๋กับท่านอาจารย์หนาน เป็นคนผู้มากความสามารถของโฮ่วจิ้น การที่ท่านทั้งสองมาเยือนงานประชุมชิงเจียงซูหนานด้วยพวกท่านเอง ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับแคว้นซูหนาน”

 

 

คำพูดของนาง ถ้าหากเป็นผู้อื่นพูดต้องดูหยิ่งยโสแน่นอน ทว่า นางกล่าวด้วยฐานะขององค์หญิง จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง

 

 

“องค์หญิงอันผิงชื่นชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เชียนรีบพูด

 

 

สำนักหลิงอู่ขึ้นตรงกับราชวงศ์ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องแสดงความเคารพเป็นพิเศษ แต่หนานอู๋เฮิ่นเพียงรักษารอยยิ้มอย่างมีมารยาท ไม่ได้เอาอกเอาใจหรือทำความเคารพจนเกินไป

 

 

“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจัดงานต้อนรับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ไม่ทราบว่าองค์หญิงสนพระทัยเข้าร่วมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเหลียนเฟิงถามเพื่อหยั่งเชิง

 

 

มู่หว่านโหรวคิดอยู่สักพัก พยักหน้าเป็นอันตกลง

 

 

เมื่อเห็นนางพยักหน้า เฮ่อเหลียนเฟิงรีบสั่งให้คนไปจัดเตรียมที่นั่งใหม่ทันที ด้วยฐานะตำแหน่งของมู่หว่านโหรว ถึงแม้เขาเป็นเจ้าเมือง ก็ไม่อาจกล้านั่งสูงนัก

 

 

อีกทั้ง โลกนี้เป็นโลกที่พลังอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง แม้มู่หว่านโหรวอายุยังน้อย แต่กลับมีพรสวรรค์ดั่งปีศาจ เบิกเนตรญาณได้ตั้งแต่เด็ก เนตรญาณหกดวงส่องแสงประกาย เมฆมงคลทับซ้อน นกร้อยพันธุ์โบยบิน แม้แต่ฝ่าบาทยังตื่นตระหนก มาตรวจดูด้วยตัวเอง จากนั้นแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงอันผิงในกรณีพิเศษ

 

 

แม้ว่าธิดาของอ๋องมีบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง ทว่า องค์หญิงโดยกำเนิด กับองค์หญิงที่ได้รับพระชาทานการ มีฐานะต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

ดังนั้น องค์หญิงอันผิงจึงมียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าองค์หญิงท่านอื่นที่อยู่ในวัง

 

 

“เชิญองค์หญิง”

 

 

หลังจากที่นั่งเรียบร้อย เฮ่อเหลียนเฟิงเชิญมู่หว่านโหรวนั่งลงด้วยความเคารพนอบน้อม

 

 

ในงานเลี้ยงต้อนรับ จู่ๆ ก็มีอีกแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือน ทำให้บรรยากาศบรรยากาศไม่ได้เป็นกันเองเหมือนเมื่อครู่นี้ เพื่อทำลายความอึดอัดนี้ เฮ่อเหลียนเฟิงจึงถาม “องค์หญิง พักหลังนี้ท่านอ๋องคังสบายดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มู่หว่านโหรวเงยหน้ามองเขา น้ำเสียงยังคงเย็นชา “ท่านพ่อร่างกายแข็งแรงดี ขอบคุณสำหรับความห่วงใย” เฮ่อเหลียนเฟิงยิ้มแห้ง

 

 

องค์หญิงอันผิงพูดขึ้นทีไร ช่างรู้สึกยากที่จะสนทนาต่อ

 

 

“องค์หญิง ท่านเสด็จมาซูหนานครานี้ เพื่อมาดูงานงานประลองชิงเจียวหรือพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เชียนถาม

 

 

“อืม” มู่หว่านโหรวตอบรับ แล้วไม่ได้พูดต่อ

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงทำอะไรไม่ถูก จนต้องเปลี่ยนเรื่องทันที “ทุกท่าน งานประชุมชิงเจียวจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันหลัง ทั้งสามวันนี้ ทุกท่านได้วางแผนอะไรไว้หรือไม่ แคว้นซูหนานมีทิวทัศน์สวยงาม มีสถานที่น่าเที่ยวเล่นมิใช่น้อย”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นยิ้มเบาๆ พลางเล่นแก้วในมือไม่หยุด เสื้อขาวทั้งตัวยากที่จะปกปิดความสง่างามได้

 

 

เขากล่าวว่า “ในเมื่อมาถึงซูหนานแล้ว แน่นอนว่าต้องไปคาราวะตระกูลลู่สักหน่อย”

 

 

ได้ยินเขาเอ่ยถึงตระกูลลู่ ห้องโถงเงียบลง อู๋เชียนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ในฐานะคนของสำนักหลิงอู่ เขารู้อยู่แล้วว่า ฮ่องเต้ปัจจุบันมีอคติกับตระกูลลู่ หากว่าใกล้ชิดกับตระกูลลู่มากเกิน ก็กลัวมีคนใส่ร้ายเขาต่อหน้าฮ่องเต้

 

 

แต่ว่า…

 

 

เขาแอบเหลือบมองสีหน้าเฉยชาของมู่หว่านโหรว ในใจเกิดความลังเล สุดท้าย เขาก็ลองถามดู “องค์หญิงจะเสด็จไปบ้านตระกูลลู่หรือไม่ หากพระองค์ไป เสด็จไปด้วยกันได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เหตุใดข้าต้องไป” มู่หว่านโหรวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

 

 

คำตอบของนางทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่ต่างมีหน้าแปลกประหลาด หนานอู๋เฮิ่นนิ่งค้าง สายตาจ้องไปยังแก้ว ทันใดนั้นเองก็มีเสียวหัวเราะพลางดื่มสุราในจอกจนหมด

 

 

องค์หญิงอันผิงกับนายน้อยลู่มีการหมั้นหมายไว้ไม่ใช่หรือ ได้ยินว่าหลังองค์หญิงอันผิงอายุสิบแปดปี ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานจัดงานสมรสให้ทั้งสอง ปีนี้นางก็อายุสิบเจ็ดแล้วนี่!

 

 

นั่นสิ แต่องค์หญิงอันผิงมีพรสวรรค์เกินคน ทว่านายน้อยลู่นั้น……

 

 

ดูท่าทางขององค์หญิงวันนี้ เกรงจะไม่พึงพอใจการแต่งงานครั้งนี้

 

 

ใช่สิ นายน้อยลู่งดงามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์หรอก องค์หญิงเองงดงามอยู่แล้ว ผู้ติมตามของนางคงมีแต่ผู้กล้าแห่งยุคเท่านั้น

 

 

คนด้านล่าง ใช้สายตาในการสื่อสาร ในใจต่างคาดเดาไว้มากมาย

 

 

“อะแฮ่ม” เฮ่อเหลียนเฟิงกระแอมเพื่อขัดจังหวะการสื่อสารที่ไร้เสียงด้านล่าง

 

 

ทันใดนั้น หนานอู๋เฮิ่นกลับเอ่ยขึ้นว่า “ทันทีที่เข้ามาถึงซูหนาน ข้าได้ส่งสาสน์ไปยังตระกูลลู่ ไม่ทราบว่าจะโชคดีที่เจอนายน้อยลู่หรือเปล่า”

 

 

ห้ะ

 

 

หนานอู๋เฮิ่นส่งสาสน์ไปแล้วงั้นหรือ ทุกคนแตกตื่น กระทั่งมู่หว่านโหรวเอง ยังกวาดสายตาไปทางหนานอู๋เฮิ่น

 

 

ทว่า ขณะนี้กลับมีคนมาราบงานว่า “ท่านอาจารย์หนาน ทางตระกูลลู่ตอบกลับมาว่า ช่วงนี้นายน้อยพวกเขาป่วย ไม่สะดวกเจอแขกขอรับ”

 

 

นี่ตระกูลลู่กล้าปฏิเสธไม่พบคนของสำนักไป๋หยวนหรือ! โอหังขนาดนี้เชียวรึ!

 

 

ทุกคนประหลาดใจยิ่งนัก

 

 

ลึกเข้าไปในดวงตามู่หว่านโหรวมีความเยาะเย้ย พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลู่เจี้ยชักจะหยิ่งยโสเกินไปแล้ว”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นไม่มีความโกรธเคือง เพียงแค่ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “น่าเสียดาย นึกว่าจะได้ชมความงดงามของนายน้อยลู่”

 

 

—–

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset