เสียงกลองหยุดลง รอบๆ เวทีการประลองทรงกลมเต็มไปด้วยผู้คน หลีเสวี่ยเฟิงยืนอยู่บนเวทีคนเดียว ถูกผู้คนจับจ้อง เหงื่อซึมฝ่ามือ
คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเจอกับไป๋หลี่เฟิ่งตั้งแต่รอบแรก
ในการประลอง พลังเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากว่าแพ้ในรอบแรก จะส่งผลกระทบกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น ผู้คนแหวกออกเป็นทาง ผู้คนทั้งสองฝั่งนั้นพากันมองไปที่ด้านหลัง ทำให้หลีเสวี่ยเฟิงที่อยู่บนเวทีก็หันไปมองด้วย
เจียงหลีและหม่าหยวนจย่ายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็มองไปทางนั้นเช่นกัน
เพราะนางอายุน้อย ตัวเตี้ย หม่าหยวนจย่าช่วยนางเบียดเข้าไปจนอยู่หน้าสุด สายตาไม่ถูกบดบัง
ในตอนที่คนที่สวมชุดสีกรมท่าปรากฏตัว ทำให้เกิดความวุ่นวายท่ามกลางผู้คน
“ไป๋หลี่เฟิ่งมาแล้ว!”
“ไป๋หลี่เฟิ่งจริงๆ ด้วย! ให้ความรู้สึกเย็นชายิ่งนัก”
“……”
เจียงหลีมองไปที่ชายผู้ที่เคยเจอกันสองครั้งเพราะโชคชะตา พอเขาปรากฏตัว นางก็ถอยหลังไปสองก้าวตามคนทั้งสองฝั่งที่แหวกทางออก
รังสีพลังแบบนั้น แพร่ออกมาเอง
แต่ใบหน้าของไป๋หลี่เฟิ่งยังคงสงบนิ่ง เหมือนกับว่าต่อให้ฟ้าดินล่มสลาย เขาก็ไม่รู้สึกอะไร สิ่งต่างๆ ภายนอก ไม่มีทางรบกวนเขาได้
จากสายตาของเขา เจียงหลีเห็นถึงความมุ่งมั่นและความดื้อรั้น นั่นคือสำหรับการแสวงหาการฝึกพลัง สำหรับแสวงหาจิตใจของผู้ที่แข็งแกร่ง
มองไปบนเวที การปรากฏตัวของไป๋หลี่เฟิ่ง ทำให้มู่หว่านโหรวยืนขึ้นอีกครั้ง เดินไปข้างหน้า สายตาจับจ้องไปยังชายที่เดินไปยังเวทีอย่างช้าๆ
สายตาที่เยือกเย็นของนางเป็นประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความชื่นชม นางคือวิหคที่โบยบินอยู่บนสวรรค์ เป็นธรรมดาที่จะต้องคู่กับหงส์ที่แท้จริง นกยูงที่ป่วย ถึงแม้ว่าภายนอกจะงดงามเพียงใด ก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่เคียงข้างนาง
ไป๋หลี่เฟิ่ง พิสูจน์ให้ข้าเห็น ทำให้ผู้คนได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเจ้า พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดในยุคโฮ่วจิ้น! มู่หว่านโหรวมองตามไป๋หลี่เฟิ่ง แอบพูดในใจ
“การประลองครั้งนี้ ไม่ต้องกังวลผลลัพธ์เลยสักนิด แค่สามกระบวนท่าง่ายๆ หลีเสวี่ยเฟิงก็ต้องแพ้ราบคาบ” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มแล้วพูด
อู๋เชียนมองเขา “การประลองครั้งนี้ยังไม่เริ่ม ท่านอาจารย์หนานพูดเช่นนี้ จะไม่เป็นการทึกทักเอาเองไปหน่อยหรือ” พูดอยู่ เขาก็แอบๆ มองมู่หว่านโหรวผู้อรชรอ้อนแอ้น พูดเสริมอีกว่า “แน่นอน ข้ายอมรับว่าไป๋หลี่เฟิ่งเก่งกาจมาก แต่ว่าเพียงสามกระบวนท่า…” เขาพูดไม่จบ ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า
“พวกเราดูก็รู้ ถึงแม้ว่าหลีเสวี่ยเฟิงจะมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว แต่น่าเสียดาย ใจของเขายอมแพ้แล้ว สามกระบวนท่าถือว่าไว้หน้าเขามากแล้ว” รอยยิ้มของหนานอู๋เฮิ่นไม่เปลี่ยนแปลง แววตาไม่ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อไป๋หลี่เฟิ่งเลยแม้แต่น้อย
ผู้มีอิทธิพลที่อยู่บนเวทีพูดคุยกัน
และที่ขอบเวทีการประลอง เจียงหลีจ้องมองทั้งสองคนที่อยู่บนเวที พูดด้วยความผิดหวังว่า “หลีเสวี่ยเฟิงต้องแพ้ในสามกระบวนท่าแน่”
หม่าหยวนจย่าพูดด้วยความแปลกใจ “คุณหนู หลีเสวี่ยเฟิงนี่คือคนที่เก่งกาจที่สุดแห่งเมืองเฉาหยาง หลิงซื่อระดับแปด เขาแพ้ไป๋หลี่เฟิ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะบอกว่าแพ้ในสามกระบวนท่า มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
เจียงหลีกวาดสายตา ในแววตาของหลีเสวี่ยเฟิงเผยให้เห็นถึงความขลาดกลัว นางไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่พูดกับหม่าหยวนจย่าว่า “รอดูเถอะ”
ในตอนนี้ ไป๋หลี่เฟิ่งได้ยืนอยู่ตรงหน้าหลีเสวี่ยเฟิงแล้ว
ผู้ประลองทั้งสองคนอยู่บนเวทีพร้อมประลอง แต่กลับรู้สึกถึงพลังที่ต่างกัน เมื่อมองไปที่ไป๋หลี่เฟิ่ง หลีเสวี่ยเฟิงใจเต้นรัว
ความตื่นเต้นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ปรากฏอยู่ในอารมณ์ของเขา
แค่เขากัดฟัน พลังก็ระเบิดออกมาจากร่างกายเขา หลังจากแสงสีทองระยิบระยับ เขาเบิกเนตรญาณขั้นหนึ่ง วิญญาณยุทธ์ที่หัวเป็นหมาป่า ตัวเป็นหมีปรากฏขึ้นทันทีทันใดอยู่ข้างหลังของเขาแล้วคำราม
“คือปีศาจเสี่ยวเย่ว์!” เนตรญาณขั้นหนึ่งของหลีเสวี่ยเฟิง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจเสี่ยวเย่ว์ระดับห้า
“นี่เพิ่งจะเริ่ม ก็ใช้วิญญาณยุทธ์แล้วหรือ”
“เจ้าก็ไม่ดูเลยว่าคู่ต่อสู้เขาคือใคร”
“โธ่ น่าเสียดาย ด้วยพรสวรรค์ของหลีเสวี่ยเฟิงและวิญญาณยุทธ์ของเขา ถ้าหากไม่ได้เจอกับไป๋หลี่เฟิ่งตั้งแต่รอบแรก ต้องชนะได้แน่นอน”
“……”
“เจ้ายังไม่ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าหรือ” หลีเสวี่ยเฟิงและปีศาจเสี่ยวเย่ว์รวมกันเป็นหนึ่ง ตั้งท่าสู้รบ พูดกับไป๋หลี่เฟิ่ง
แต่ว่าไป๋หลี่เฟิ่งกลับส่ายหน้าอย่างช้าๆ “การต่อสู้เช่นนี้ ยังไม่ต้องถึงขั้นปลดปล่อยหงส์หยกของข้าหรอก”
หลีเสวี่ยเฟิงแทบกระอักเลือดออกมา
ละอาย! น่าละอายจริงๆ!
เจียงหลีที่อยู่ข้างล่างเวที หลุดหัวเราะออกมา นางพบว่าไป๋หลี่เฟิ่งผู้เย็นชาคนนี้ นึกไม่ถึงว่ายังมีความสามารถในการยั่วโมโหคนได้
“เจ้า!” หลีเสวี่ยเฟิงกริ้วโกรธ พลังในตัวของเขาระเบิดออกมา เขากัดฟันพูดกับไป๋หลี่เฟิ่ง “เจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองนะ!”
พูดจบ ปีศาจเสี่ยวเย่ว์ส่งเสียงคำราม พลังที่บ้าคลั่งมุ่งโจมตีไปที่ไป๋หลี่เฟิ่ง
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับพลังที่บ้าคลั่ง ไป๋หลี่เฟิ่งยังคงนิ่งเฉยไม่ไหวติงดั่งภูเขา มองดูอย่างสงบ
ทั้งสองคนเข้าปะทะกัน หลีเสวี่ยเฟิงใช้ทักษะการต่อสู้โดยกำเนิดคำรามใส่ไป๋หลี่เฟิ่ง ไป๋หลี่เฟิ่งกลับแค่ยกมือขึ้นข้างเดียว เหมือนกับปัดเมฆหมอกแล้วผลักเบาๆ
โครม
“แย่แล้ว เกิดอะไรขึ้น”
พลังที่ระเบิดออกมา บดบังเวทีการประลอง
อ้ากกก
ผู้คนยังมองกันไม่ชัด ก็ได้ยินเสียงที่น่าเวทนาลอยมา ตามมาด้วยเสียงอะไรสักอย่างตกลงพื้น เหมือนเวทีการประลองจะพังทลาย
“หนึ่ง……หนึ่งกระบวนท่า” หม่าหยวนจย่าปากอ้าตาค้างมองไปที่เวทีการประลองที่ถูกพลังทำลาย
เหมือนไป๋หลี่เฟิ่งไม่ได้ขยับอะไรเลย แต่วิญญาณยุทธ์ของหลีเสวี่ยเฟิงกลับสลายไป เขานอนกองอยู่บนเวทีการประลอง กระอักเลือดไม่หยุด
“ยกที่หนึ่ง ไป๋หลี่เฟิ่งชนะ!” ผู้ตรวจตราเคาะฆ้อง ประกาศผล
ผู้คนด้านล่างเวทีประลอง ยังคงอึ้งอยู่ แต่ไป๋หลี่เฟิ่งกลับหันตัวอย่างสงบ เดินลงเวทีการประลอง แต่หลังจากที่เขาเดินจากเวทีไป ทันใดนั้นก็ชำเลืองมองเจียงหลี
ผู้คน ณ เวลานี้ สายตารวมอยู่ที่ไป๋หลี่เฟิ่ง หลังจากเห็นเขาชำเลืองตามองมา ต่างพากันเคลื่อนไหวตามสายตาของเขา
เพียงแต่ในตอนที่พวกเขารู้ว่าไป๋หลี่เฟิ่งมองไปที่หญิงสาวชุดดำ ล้วนรู้สึกประหลาดใจ
“นั่นคงเป็นสาวใช้ของตระกูลลู่คนนั้นสินะ”
“ใช่แล้ว ก็คือคนที่ถอนหมั้นกับตระกูลเย่ว์”
“ไป๋หลี่เฟิ่งมองนางทำไม”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“……”
ผู้คนรอบๆ แอบกระซิบคุยกัน คาดเดาสายตาของไป๋หลี่เฟิ่ง จะมีเพียงเจียงหลีเท่านั้นที่เห็นเจตนาการสู้รบจากสายตาที่มองมา
เหมือนเขาจะยอมรับว่านางมีคุณสมบัติที่จะสู้กับเขาได้
ทางด้านอัฒจันทร์ การหยุดชะงักของไป๋หลี่เฟิ่ง ทำให้มู่หว่านโหรวขมวดคิ้ว
ในตอนนี้ คำพูดของอู๋เชียนดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “ทำไมไป๋หลี่เฟิ่งถึงได้สนใจเด็กผู้หญิงคนนี้ หรือว่าเขาจะคิดว่าเด็กคนนี้จะสามารถประลองกับเขาได้”
“เป็นไปได้” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มอย่างมีเลศนัย