ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 79 ส่งเจ้าลงนรก

 

 

จุดที่นิ้วมือของลู่เจี้ยลูบไล้ผ่านทำให้ร่างกายของเจียงหลีสั่นเทิ้มวาบไหว เรี่ยวแรงเหมือนโดนสูบหายไปหมด พาลทำให้นางได้แต่ขดตัวในอ้อมกอดของเขาอย่างสิ้นฤทธิ์

 

 

ชั่วขณะนั้นเจียงหลีรู้สึกว่าถ้าลู่เจี้ยเอ่ยปากขอจูเสียจริงๆ มิใช่ว่านางจะให้ไม่ได้

 

 

ให้ตายสิ ความหน้าตาดีของหมอนี่ช่างเป็นอาวุธทำลายล้างที่รุนแรงยิ่งนัก เจียงหลีบ่นอุบในใจ

 

 

รู้ทั้งรู้ถึงเสน่ห์ของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเตรียมใจมาแล้วแต่ก็ยังตกหลุมจนได้

 

 

ในขณะที่เจียงหลีกำลังคิดว่าลู่เจี้ยจะเอ่ยปากขอจูเสียจริงๆ ประโยคที่คาดไม่ถึงกลับทำให้นางได้สติจากความงดงาม

 

 

“เป็นของที่สหายสนิทของหลีเอ๋อร์มอบให้ ข้าจะแย่งมาได้อย่างไร ข้าแค่อยากเตือนหลีเอ๋อร์เท่านั้นว่าสิ่งของที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้ ตอนที่เจ้าไม่สามารถปกป้องมันได้ อย่าเอามาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ต้นไม้ใหญ่ที่สูงกว่าป่ามักจะถูกลมพัดล้มลงเสมอ จะทำให้หายนะมาสู่ตัวได้”

 

 

เจียงหลีเบิกตาอ้าปากค้างมองเขา ผ่านไปครึ่งยามถึงได้พึมพำออกมา “ข้าใช้มันไปแล้ว ตอนนั้นเห็นว่าคนก็มีไม่น้อยเลย” ตอนนั้นถึงคราวเป็นคราวตาย นางจะไปทันคิดรอบคอบได้อย่างไร

 

 

ลู่เจี้ยกลับยิ้มน้อยๆ อย่างไม่สนใจนัก กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงปนความเอ็นดู “เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกมันคิดเสียว่าเป็นของที่ตระกูลลู่มอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

เจียงหลีเข้าใจขึ้นมา นี่หมายความว่าจะให้ตระกูลลู่รับเคราะห์แทนหรือ

 

 

นางกะพริบตาปริบๆ นึกตำหนิในใจ จู่ๆ ก็ดีกับข้าเช่นนี้ ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่

 

 

แน่นอนว่านางไม่ได้ใสซื่อถามถึงเจตนาของลู่เจี้ยตรงๆ ถึงนางจะถามไปน้ำคำที่ออกจากปากของผู้ชายคนนี้ใช่ว่าจะเป็นความจริงเสียเมื่อไหร่

 

 

“เจ้าพูดขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” เจียงหลีพูดจบก็ขยับยุกยิกหาตำแหน่งในอ้อมกอดของลู่เจี้ยที่สบายหน่อยแล้วหลับตาฟื้นฟูพลัง

 

 

การต่อสู้เมื่อครั้งก่อนนางสูญเสียไปไม่น้อย อย่ามองว่านางดูร่าเริงเลย ที่จริงแล้วนางเจ็บปวดทรมานไปทั่วทั้งกาย

 

 

ลู่เจี้ยหลุบตาต่ำมองใบหน้าขาวซีดของนางแล้วกระซิบเสียงทุ้ม “เหนื่อยแล้วนอนสักครู่เถิด ถ้าถึงแล้วข้าจะปลุกเจ้าเอง”

 

 

“อืม” เจียงหลีตอบเพียงคำเดียว จากนั้นจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา

 

 

ลู่เจี้ยจดจ้องไปที่ใบหน้าหลับพริ้มของนางอย่างใจลอย

 

 

เงาของเจียงหลีสะท้อนอยู่ในดวงตาใสเป็นประกายดั่งแก้วของเขา โอบกอดร่างเล็กเข้าหาอย่างอ่อนโยน ใครจะคาดคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางเช่นนี้เมื่อระบายโทสะออกมากลับใช้พลังทำลายล้างรุนแรงเยี่ยงนี้

 

 

ทันใดนั้นเขาอยากเห็นวิญญาณดวงนั้นที่สิงสถิตอยู่ในร่างนี้ยิ่งนัก

 

 

ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้นอยู่ จู่ๆ ดูเหมือนว่าเขามองเห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเล็กนวลใสนี่งามล่มเมืองชัดๆ

 

 

ตึกตัก!

 

 

หัวใจของลู่เจี้ยสั่นรัวดั่งกลอง

 

 

เกือบจะถูกใบหน้านั้นที่ซ่อนอยู่ดึงดูดให้หลงมัวเมาเสียแล้ว พลังงานลึกลับบางอย่างแล่นพล่านจากร่างกายของเขาแล้วถูกเจียงหลีดูดซับอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 

ในห้วงนิมิตของเจียงหลีราวกับได้ยินเสียงหัวใจของลู่เจี้ย

 

 

เสียงหัวใจเต้นนี้ราวกับว่าเป็นลำนำขับกล่อมนอนอันไพเราะที่สุดในโลก ทำให้นางผ่อนคลายและหลับอย่างสบายใจ เจียงหลีรู้สึกเหมือนกับตัวเองตกลงไปในบ่อน้ำพุร้อนอบอุ่นแสนสบาย ในขณะที่กำลังแช่น้ำพุร้อนอยู่ อาการบาดเจ็บในร่างกายของตนฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งรอยแผลก็ค่อยๆ สมานตัว

 

 

อ่า…สบายจัง เจียงหลีตะโกนในห้วงนิมิต มือสองข้างกระชับเข้าที่เอวของลู่เจี้ยโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อจู่ๆ ก็ถูกโอบรัดแน่นจากคนในอ้อมกอด ลู่เจี้ยหัวใจแทบหยุดเต้น สูดลมหายใจลึกขึ้นกว่าเดิม เขาผละสายตาออกจากในหน้าขาวนวลของหญิงสาวอย่างเรียบนิ่ง ควบคุมอาการเต้นของหัวใจและปรับคลื่นอารมณ์ของตัวเอง

 

 

ข้า ก็เป็นแค่คนที่กำลังจะตาย ไม่สามารถและไม่ควรนำความเดือดร้อนให้ใคร อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ในรถม้าที่เงียบสงบดูเหมือนว่ามีเพียงลู่เจี้ยที่สะท้อนใจในเหวลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

 

 

ผ้าไว้ทุกข์สีขาวแขวนไว้ตรงประตูจวนตระกูลเย่ว์

 

 

การตายอย่างกะทันหันของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่พวกเขาภาคภูมิถือเป็นความโชคร้ายในครอบครัว ทำให้ทั้งตระกูลเย่ว์จมอยู่กับความโกรธแค้นอันเจ็บปวด

 

 

แล้วโศกนาฏกรรมในวันนี้กลับยังไม่หยุดเพียงเท่านี้

 

 

เมื่อลู่จ้านนำกำลังพลของตระกูลลู่บุกมายังประตูจวน ก็หมายความได้ว่าตระกูลเย่ว์ได้จบสิ้นแล้ว!

 

 

ลู่จ้านค่อยๆ เงยหน้ามองประตูจวนตระกูลเย่ว์

 

 

ผ้าไว้ทุกข์สีขาวที่แขวนอยู่นั้นทำให้เขาสบถด้วยความโทสะอย่างเย็นชา

 

 

เขายกมือขึ้นกำหมัดและโบกมือไปในอากาศ หมัดที่แข็งแกร่ง เขาคำรามออกมาเหมือนสัตว์ร้ายแล้วพังประตูจวนตระกูลเย่ว์ทันที

 

 

ตูมมมม!

 

 

เสียงทลายประตูจวนตระกูลเย่ว์จนเกิดช่องว่างดังสนั่นกึกก้อง

 

 

แผ่นป้ายตระกูลเย่ว์เองก็ถูกพังลงพื้นจนหักเป็นสองท่อน

 

 

ความเคลื่อนไหวตรงประตูทำให้คนในตระกูลเย่ว์วิ่งอุตลุดออกมา

 

 

ที่ด้านนอกประตู ใบหน้าของลู่เจี้ยเต็มไปด้วยความโกรธ เขาตะโกนกับผู้อารักขาของตระกูลลู่ “ฆ่ามัน นายน้อยสั่งฆ่าอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

 

 

“ฆ่ามัน!”

 

 

ผู้อารักขาตระกูลลู่นับพันตะโกนพร้อมเพียงกันฮึกเหิม ดาหน้าพุ่งสู่ประตูจวนตระกูลเย่ว์ที่พังยับเยิน

 

 

เหล่าคนตระกูลเย่ว์ที่ออกมารับหน้าเมื่อเห็นฉากนี้จึงตกใจแตกตื่นหน้าถอดสีหนีตายกันโกลาหล

 

 

“เร็ว! รีบไปรายงานนายท่าน” มีคนได้สติกลับมาแล้วรีบไปหาเย่ว์ชิงหลิวทันที

 

 

ขณะนั้นเองมีหลายคนเหาะออกมาจากในจวนตระกูลเย่ว์ สองคนในนั้นคือเย่ว์เซิงกับเย่ว์คงที่เคยไปเยือนตระกูลลู่มาก่อน

 

 

“เป็นใครบังอาจกล้ามาเหยียบตระกูลเย่ว์!” เย่ว์เซิงพุ่งมาอยู่ด้านหน้าสุดมองเห็นผู้อารักขาตระกูลลู่บุกเข่นฆ่าคนของตระกูลเย่ว์ ทันใดนั้นดวงตาเขาเดือดดาล

 

 

“แล้วใครล่ะ ที่แส่หาเรื่องกับตระกูลลู่” ลู่จ้านตะโกนตอบกลับไปเช่นกัน เขาเอื้อมมือไปจับเย่ว์เซิงที่หลบหลีกอยู่ในอากาศ

 

 

“อื้อ” เย่ว์เซิงส่งเสียงในลำคอราวกับว่าถูกบีบให้แหลกคามือก็มิปาน เขามองไปที่ลู่จ้านอย่างตื่นตระหนก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

 

 

เขาเป็นถึงหลิงเจี้ยงระดับเก้าเชียวนะ

 

 

ลู่จ้าน ลู่จ้าน ตามข่าวลือเขาทะลุระดับหลิงเจี้ยงได้ตั้งนานแล้ว เย่ว์เซิงตกใจกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง มือเท้าถูกควบคุมจนไม่สามารถขยับดีดดิ้นได้ ทำได้เพียงร้องขอความช่วยเหลือ “ใต้เท้าลู่จ้าน ได้โปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตข้าเถอะ”

 

 

ลู่จ้านไม่เพียงแสยะยิ้มเยือกเย็นแต่เขากลับออกแรงนิ้วทั้งห้า ได้ยินแค่เสียงดัง กรอบ มาจากลำคอของเย่ว์เซิง ทั้งศีรษะของเขาร่วงหล่นลงมา

 

 

“ฆ่ามัน!” ลู่จ้านโยนศพทิ้งอย่างไร้เยื่อใยแล้วออกคำสั่งต่อไป

 

 

จอมยุทธ์ของตระกูลเย่ว์มีมากหรือไม่

 

 

มีมากมายอย่างนั้นหรือ

 

 

เช่นนั้นจอมยุทธ์ของตระกูลลู่มีมากหรือไม่

 

 

หึ มีมากมายเสียยิ่งกว่า!

 

 

เสียงร้องดังโหยหวนภายในตระกูลเย่ว์

 

 

ขณะที่เย่ว์ชิงหลิวออกมาเห็นเพียงตระกูลเย่ว์ถูกฆ่าล้าง มีเพียงเลือดไว้ดูต่างหน้า อ้ากกก! เขาตะโกนสุดเสียงบันดาลโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จบแล้ว หมดแล้ว ตระกูลเย่ว์จบสิ้นแล้ว

 

 

ในกลุ่มคนนั้นเขามองเห็นผู้อาวุโสประจำตระกูลถูกทำร้ายนอนอ้าปากพะงาบๆ ด้วยความชราจึงไม่มีแม้แต่แรงจะสู้กลับไป

 

 

ร่างไร้วิญญาณของเย่ว์เซิงกับเย่ว์คงนอนจมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของลู่จ้าน

 

 

และรอยยิ้มอำมหิตของลู่จ้านมิได้จางหายไปจากใบหน้า

 

 

เมื่อรู้สึกถึงความเกลียดแค้นงสะท้อนออกมาจากเย่ว์ชิงหลิว ลู่จ้านจึงหันกลับไปช้าๆ จ้องมองด้วยความเกลียดชัง จากนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น “เย่ว์หนานซีและหลิงเจี้ยงระดับหกพ่ายแพ้ต่อเจียงหลีด้วยความเจ็บแค้นใจ โจมตีไม่สำเร็จจนถูกฆ่าเพื่อตอบโต้ หลิงเจี้ยงที่ไร้ยางอายที่ตระกูลเย่ว์ส่งมาตามฆ่าเจียงหลีพวกข้าก็ได้ตัดสินวันประหารตระกูลเย่ว์ของพวกเจ้าไว้แล้ว เย่ว์ชิงหลิว เจ้าแค้นใช่หรือไม่ เกลียดตระกูลลู่ที่รังแกพวกเจ้าที่อ่อนแอ นี่แหละ พวกข้าก็เรียนรู้มาจากตระกูลเย่ว์ของเจ้า แค้นนักหรือ เช่นนั้นก็เอาความแค้นของเจ้าลงนรกไปด้วยซะเถอะ!”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset