“ขุดหลุมศพขึ้นมาให้ข้าที”
ทันใดนั้นเจียงหลีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หม่าหยวนจย่าที่พี่งจะฆ่าเหอซื่อสองแม่ลูกตายไปได้แต่อึ้ง คิดว่าตัวเองฟังผิดไปจึงละล่ำละลักถาม “คุณหนูว่าอย่างไรนะขอรับ”
เจียงหลีปราดตามองเขาแล้วย้ำอีกครั้ง “ขุดหลุมศพขึ้นมาให้ข้า”
“…” หม่าหยวนจย่าอึ้ง
อะไรนะ ตระกูลเย่ว์ข่มขู่นางให้คนขุดศพขึ้นมาเอาแส้ฟาด นางก็แก้แค้นเอาขึ้นยิ่งกว่าโดยเอาแส้ฟาดศพของเย่ว์หนานซี ตอนนี้นางยังจะมาขุดหลุมศพมารดาของตัวเองอีกหรือ
“คะ..คุณหนู…” หม่าหยวนจย่าอยากตักเตือน
“ฟังข้าพูดไม่รู้เรื่องหรือไร” เจียงหลีย้อนถามกลับ
พลังทรงอำนาจทำให้หม่าหยวนจย่ากลืนคำที่กำลังจะพูดกลับไป เขาสูดหายใจเข้าลึกตั้งสมาธิเดินไปที่ด้านหน้าหลุมศพของกู๋หล่านเย่ว์ ท่องคำว่าบาปในใจอยู่หลายครั้งถึงจะใจแข็งเริ่มขุดหลุมศพ
เจียงหลียืนอยู่ด้านหน้าป้ายหลุมศพเฝ้ามองการกระทำของหม่าหยวนจย่า จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาด้านหลังก็ยังไม่หันกลับไปมอง
ลู่เจี้ยลงจากรถม้าเดินผ่านร่างไร้วิญญาณของสองแม่ลูกเหอซื่อ เขาไม่แม้แต่ชายตามอง
“หลีเอ๋อร์สงสัยสิ่งใดหรือ” ลู่เจี้ยหยุดอยู่ตรงข้างนางแล้วเอ่ยถามเบาๆ
เจียงหลีปราดตามองแต่ก็ไม่ได้สนใจจะเอ่ยตอบ
ลู่เจี้ยยิ้มเจือจางเพราะทราบดีว่าจัดรพรรดินีผู้เย่อหยิ่งกำลังโกรธเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้
ทันใดนั้นลู่เจี้ยสะบัดชายแขนเสื้อ มีของบางสิ่งไหลลงมาสู่มือเขา เขายื่นไปตรงหน้าเจียงหลีแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ของที่ข้าให้เจ้า อย่าปล่อยไปง่ายๆ หากมีครั้งต่อไปจะลงโทษตามกฎตระกูล”
เจียงหลีหัวเราะขึ้นจมูกกับคำพูดที่เขาข่มขู่ ดวงตาเป็นประกายหรุบต่ำมองสิ่งที่อยู่ในมือเขา นางหรี่ตายื่นมือรับ “มันไปอยู่กับท่านได้อย่างไร” สิ่งที่ลู่เจี้ยหยิบโผล่พรวดออกมาเป็นกริชงามเล่มนั้นที่นางใช้ฆ่าเย่ว์หนานซี
“ฆ่าคนก็ฆ่าไปสิ เหตุใดจึงทิ้งซุ่ยซิง” ลู่เจี้ยไม่ตอบ กลับย้อนถาม
“ซุ่ยซิงหรือ ชื่อของมันเรียกว่าซุ่ยซิงหรือ” เจียงหลีสำรวจกริชอย่างจริงจังอีกครั้ง เพียงแต่รู้สึกว่าหลังจากรู้ชื่อของกริชเล่มนี้แล้วมันก็ดูจะสว่างไสวขึ้นมาทันตา
เมื่อเห็นว่าความสนใจของนางไม่ได้อยู่ที่คำถามของเขาตั้งแต่แรก ลู่เจี้ยจึงยกยิ้มที่มุมปากแล้วไม่ส่งเสียงใดๆ อีก
ปัง!
เสียงกระทบกระทั่งของโลงศพดึงดูดความสนใจของคนทั้งสอง
เมื่อลู่เจี้ยเห็นว่าเจียงหลีเอากริชเก็บไว้ที่ตัว ม่านหมอกในดวงตาถึงจะหายไป
เจียงหลีรีบเดินไปยังหลุมศพที่ถูกขุดก็มองเห็นโลงศพเรียบง่าย “เปิดออกมา” ดวงตาของนางจ้องไปที่ฝาโลงออกคำสั่งเสียงนิ่ง
หม่าหยวนจย่าลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกเย็นวูบเสียวสันหลังอยู่ตลอดเวลา
แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งเปิดงัดฝาโลงขึ้นมา
จริงๆ ด้วย!
ตอนที่ฝาโลงถูกเปิดออกมา ดวงตาของเจียงหลีก็ประกายแสงเจิดจ้า แม้กระทั่งดวงตาแก้วใสของลู่เจี้ยยังหรี่ลงเล็กน้อย ฉายแววครุ่นคิดลึกเข้าไปในดวงตา
เขาหันไปมองคนร่างเล็กที่อยู่ข้างกายอย่างไร้ร่องลอยก็มองเห็นสีหน้าคาดการณ์ของนาง
“โลงเปล่า..โลงเปล่าอย่างนั้นหรือ”
หม่าหยวนจย่าตกตะลึงมองโลงศพว่างเปล่าอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
โลงศพเป็นโลงไม้เรียบๆ สิ่งที่อยู่ข้างในชัดเจนในพริบตา ถึงแม้ตระกูลเย่ว์จะจัดงานศพให้กู๋หล่านเย่ว์ แต่กลับเป็นเพียงการจัดพิธีศพแบบเรียบง่ายเท่านั้น แม้กระทั่งของติดตัวศพสักชิ้นยังไม่มี
“ปิดโลงศพแล้วซ่อมแซมสุสานให้ดี” เจียงหลีสั่งการหม่าหยวนจย่าอย่างใจเย็นจากนั้นจึงหันหลังเดินไปทางรถม้า
ยังไม่ตาย! กู๋หล่านเย่ว์ยังไม่ตาย!
เจียงหลียืนยันในจุดนี้ได้ แต่กลับยิ่งสงสัยในสถานะของกู๋หล่านเย่ว์ทั้งเรื่องที่นางยังไม่ตาย แล้วไปที่ไหนกันล่ะ ทำไมถึงทิ้งลูกสาวตัวเองให้โดดเดี่ยวเช่นนี้
…
เมื่อกลับถึงจวนตระกูลลู่ เจียงหลีไม่เอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับกู๋หล่านเย่ว์อีก ลู่เจี้ยก็ไม่ถามมากเช่นกัน
ที่ไม่ถามก็เพราะเขารู้ว่าเจียงหลีเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน
ถ้าหากนางรู้แล้วล่ะก็ คงไม่คาดเดาแล้วไปขุดหลุมศพหรอก
กู๋หล่านเย่ว์อย่างนั้นหรือ
ดวงตาของลู่เจี้ยฉายแวววาววับ พึมพำในใจจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก กู๋หล่านเย่ว์เป็นผู้หญิงที่มีที่มาที่ไปลึกลับ มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในตัวนางกันแน่
จากนี้ต่อไปตระกูลเย่ว์ได้หายสาบสูญไปจากเมืองซูหนานแล้ว
เรื่องราวของตระกูลลู่ฆ่าล้างอีกตระกูลหนึ่งเพื่อนางทาสคนเดียวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองซูหนาน กระจายไปจนถึงใจกลางมณฑลซูหนาน
ตระกูลลู่ตกเป็นจุดสนใจของผู้คนอีกครั้ง
เหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลครั้งนี้เบี่ยงเบนความสนใจในผลลัพธ์หลังงานประลองชิงเจียวไปเสียหมด
ชื่อของเจียงหลีนับวันยิ่งมีแต่คนเอ่ยถึง คนที่ควรจะได้รับความสนใจจากผู้คนมากกว่าอย่างไป๋หลี่เฟิ่ง มีเพียงแค่ข่าวแพร่ออกไปว่าเขาได้รับป้ายชื่อของสถาบันไป๋หยวนหลังจากนั้นไปที่ใดก็ไม่รู้แน่ชัด
หลังเรื่องตระกูลเย่ว์ผ่านไปสองวัน มีจดหมายหนึ่งฉบับถูกส่งมายังจวนตระกูลลู่ ลู่เจี้ยรับมันไว้ในมือ
เมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายจบ ใบหน้ารูปงามที่ทำให้ตะลึงจนวิญญาณหลุดของลู่เจี้ยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงแต่ให้คนไปตามเจียงหลีให้มาหาเท่านั้น
“องค์หญิงอันผิงผู้นี้เป็นใคร” หลังจากมาถึงเจียงหลีจึงอ่านข้อความ โบกจดหมายในมือมองไปทางลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “หลานสาวของฮ่องเต้ ลูกสาวคนโปรดของท่านอ๋องคัง”
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมค้นหาเกี่ยวกับเรื่องขององค์หญิงอันผิงอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็คิ้วกระตุกแล้วหยอกล้อขำๆ “นางยังเป็นคู่หมั้นของข้าด้วย”
คนผีทะเล ที่แท้เจ้าก็มีคู่หมั้นแล้ว
รอยยิ้มมุมปากของเจียงหลีค่อยๆ กลายเป็นยิ้มเย็นยะเยือกจ้องตาลู่เจี้ยแข็งกร้าวมากขึ้น
“เรื่องคู่หมั้นเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ในเวลานั้น เพื่อเอาใจตระกูลลู่ ฮ่องเต้ได้ลั่นวาจาสัญญาออกมาตามพระประสงค์ เมื่อห้าปีก่อนข้าให้ท่านพ่อลองใจถามเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กลับอ้างว่ามู่หว่านโหรวยังมิถึงวัยออกเรือน แล้วทรงตรัสอีกว่ารอนางถึงวัยก่อนค่อยหารือเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการ” ลู่เจี้ยอธิบายยาวเหยียด
“ท่านชอบนางหรือเปล่า” เจียงหลีไม่ได้สนใจเรื่องสัญญาอะไรนั่น แต่กลับสนใจในจุดนี้มากกว่า
ลู่เจี้ยหัวเราะลั่น “ชอบอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆๆ ข้าพิการไปครึ่งหนึ่งแล้วจะมีหน้าไปชอบใครเขาได้”
ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เจียงหลีรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“ที่นางมาก็เพื่อถอนหมั้น” ลู่เจี้ยเก็บเสียงหัวเราะ แต่ยังคงเจือรอยยิ้มมองเจียงหลี “นางกังวลใจกลัวว่าเสด็จลุงของนางจะให้นางแต่งงานกับข้าจริงๆ เพื่อผลประโยชน์”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงท่านจะแต่งหรือไม่” เจียงหลีจ้องมองเขาตาเป็นประกาย
ลู่เจี้ยถูกสายตาสะกดขู่เข็นของนางทำให้ดวงตาแก้วใสเต็มไปด้วยความสงสัย “หลีเอ๋อร์ไม่ชอบนางหรือ”
เหอะ!
เจียงหลีสบถในใจเบี่ยงสายตาออกแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นท่านเรียกข้ามาหมายความว่าอย่างไร”
ลู่เจี้ยยกยิ้มมุมปาก “แน่นอนว่าข้าเรียกหลีเอ๋อร์มาเพื่อคุ้มครองข้า สักครู่องค์หญิงอันผิงมาถึงหน้าประตู ถ้าหากนางรังแกคนป่วยอย่างข้า ก็เหมือนเมื่อวานตอนอยู่ต่อหน้านางเหอซื่อสองแม่ลูกนั่น เจียงหลีจะได้ปกป้องคุ้มครองข้า”
ปกป้องคุ้มครอง…
สี่คำสุดท้ายราวกับเสียงปลายนิ้วดีดพิณที่รบกวนหัวใจของเจียงหลี…