ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 88 เอาใจนายน้อยผู้เลอโฉม

 

 

กระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมกับคำว่าหย่า ได้ลอยตกลงมาจากอากาศ

 

 

ดวงตาคู่สวยของมู่หว่านโหรว จดจ่อกับกระดาษแผ่นนั้น ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมา

 

 

ตูม!

 

 

พลังวิญญาณถูกส่งออกจากมือของมู่หว่านโหรว และทันใดนั้น กระดาษที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เป็นเศษเล็กเศษน้อย ร่วงหล่นพื้นราวกับเกล็ดหิมะ

 

 

นางจ้องมองเจียงหลี ดวงตาของนางเย็นชาและน่ากลัว จ้องมองนาง เหมือนอย่างมองคนตาย

 

 

“นังทาสจองหอง!”

 

 

บรรดาพวกของมู่หว่านโหรว กระโดดออกมาทีละคน จ้องมองไปที่เจียงหลี แต่ละคนอยากจะกระชากเส้นเอ็นและขุดกระดูกของนางออกมา

 

 

แม้แต่หนานอู๋เฮิ่นก็มองไปที่เจียงหลีด้วยความตกใจ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หญิงสาวคนนี้ช่างกล้าหาญเสียจริง!”

 

 

ลู่จ้านตะคอกด้วยเสียงที่เย็นชา และดวงตาทั้งคู่ก็จ้องมอง ทันใดนั้น องครักษ์ของตระกูลลู่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่างก็ชักดาบออกมา จ้องมองมู่หว่านโหรวและพวกเหมือนดั่งหมาป่าและเสือ

 

 

มู่หว่านโรวเม้มปากที่บอบบางของนางไว้แน่น จ้องมองเจียงหลีอย่างสงสัยเป็นเวลานาน จึงเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ากล้ามาก” คำสามคำที่เย็นยะเยือกนี้ แฝงไปด้วยนัยยะใด ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างคาดใดไปต่างๆ นาๆ

 

 

พลังวิญญาณที่โอบล้อมรอบตัวนางได้สลายไป แต่มันทำให้ผู้คนได้เห็นพื้นฐานการฝึกฝนในปัจจุบันของนางว่าเป็นขั้นแรกของระดับหลิงเจี้ยง!

 

 

จากนั้น เจียงหลีเลิกคิ้ว เม้มริมฝีปากอย่างภาคภูมิใจ เชิดคางขึ้นแล้วพูดว่า “ข้ากล้ามากจริงๆ”

 

 

ความมั่นใจในตัวเองที่เปิดเผยออกมาจากนาง ทำให้คนทั้งคนของนางได้เปล่งแสงที่มองไม่เห็นออกมาจากภายในสู่ภายนอก กลายเป็นความแพรวพราวอย่างมาก

 

 

ปฏิกิริยาของนาง ทำให้ดวงตาของมู่หว่านโหรวเย็นลง นางขยับสายตาให้ออกห่างจากเจียงหลี และมองไปที่ลู่เจี้ยแทน

 

 

นางเป็นองค์หญิงที่มีสถานะสูงส่ง และจะไม่ลดเกียรติหรือลดตัวลงไปพัวพันกับทาส แต่อย่างไรก็ตาม ลู่เจี้ยในฐานะนายน้อยของตระกูลลู่ เป็นเจ้านายของทาสผู้นี้ จะต้องให้คำอธิบายกับนาง

 

 

มิเช่นนั้นแล้ว ความผิดฐานดูหมิ่นราชวงศ์นี้ เจียงหลีไม่อาจรอดพ้นไปได้แน่!

 

 

แต่ว่า คิ้วของลู่เจี้ยแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เผชิญหน้ากับความเฉยชาของมู่หว่านโหรว ด้วยอาการท่าทีอย่างไม่สนใจ ท่าทีของเขาเช่นนี้ ทำให้มู่หว่านโหรวแอบสะดุ้งอยู่ในใจ หรือว่า เขาผู้ซึ่งเป็นนายน้อยของตระกูลลู่ จะยอมให้ทาสหญิงคนหนึ่งมาก่อความวุ่นวาย

 

 

“ลู่เจี้ย…”

 

 

“องค์หญิง ตอนนี้เมื่อท่านได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ก็โปรดกลับไปเถอะ” ลู่เจี้ยพูดขัดจังหวะคำถามของมู่หว่านโหรวอย่างไม่แยแส

 

 

มู่หว่านโหรวขมวดคิ้ว นางรู้สึกถึงการดูถูกจากลู่เจี้ย

 

 

เขา ไม่เคยเห็นตัวเองที่เป็นองค์หญิงนี้อยู่ในสายตาเลย!

 

 

เมื่อหายใจเข้าลึกๆ แล้ว มู่หว่านโหรวก็ปรับอารมณ์ขึ้นมาใหม่ และพูดอย่างเย็นชา “ข้ามาที่นี่ เพื่อมาพูดคุยเรื่องนี้กับเจ้าอย่างสันติ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตามใจทาสสาวคนหนึ่ง กระทั่งทำให้ข้าต้องอับอายมากเพียงนี้”

 

 

“องค์หญิง อย่าได้เอาดีเข้าตัวเลย” เจียงหลีเย้ยหยัน “ท่านมาเพื่อจะยกเลิกการแต่งงาน คนนอกไม่รู้เหตุผล และผู้ที่ไม่รู้รายละเอียด ก็จะเอาแต่พูดดูถูกหัวเราะเยาะและพูดให้ร้ายนายน้อยของข้า อย่าบอกข้านะว่าคนฉลาดอย่างท่าน จะคิดไม่ถึงในเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อท่านเอาแต่ห่วงตัวเอง และไม่สนใจนายน้อยของจวนพวกข้า ท่านมาก็แค่อยากจะมายกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ นายน้อยพวกข้าจะเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งเองบ้างจะเป็นอย่างไรกัน หรือว่า ท่านกลัวคนข้างนอกจะหัวเราะเยาะว่าท่านเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับถูกบอกยกเลิกงานแต่ง โดยนายน้อยของจวนข้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

มู่หว่านโหรวขมวดคิ้ว นางรำคาญเจียงหลีเสียจริง!

 

 

ตั้งแต่ตอนแรก เริ่มไม่ชอบใจนางเมื่อรู้ว่านางเป็นคนของตระกูลลู่ จนถึงตอนนี้นางก็ต่อต้านตนในทุกเรื่อง ซึ่งทำให้นางไม่อาจชื่นชมความเป็นอัจฉริยะของผู้นี้ได้

 

 

อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจฆ่าเจียงหลี อย่างน้อย ก็ไม่สามารถฆ่าได้ที่นี่!

 

 

เจตนาของมู่หว่านโหรวนั้นยังอยู่ แต่ตามท่าทีของลู่เจี้ยแล้ว นางไม่สามารถฆ่าเจียงหลีในจวนของตระกูลลู่ได้ ตรงกันข้ามมันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน

 

 

“ลู่เจี้ย เรื่องนี้เป็นเพราะข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องระหว่างเจ้ากับข้า จะยุติลงนับตั้งแต่ในวันนี้เป็นต้นไป” มู่หว่านโหรวได้สงบลง กลับคืนสู่ความสูงส่งและสง่างามของนาง

 

 

มู่หว่านโหรวหันมาแล้วมองไปที่เจียงหลี ด้วยรอยยิ้มที่หยิ่งผยอง “เจียงหลี เจ้าทำให้องค์หญิงอย่างข้าจดจำเจ้าเอาไว้ได้ นับว่าเจ้ามีความสามารถพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพึงรู้ไว้ ในขณะที่ไม่แข็งแกร่งพอ หากปากของเจ้าไวจนเกินไป เจ้าจะถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย”

 

 

นี่เป็นการเตือนสติ หรือเป็นคำข่มขู่

 

 

เจียงหลีไม่สนใจ นางยิ้มเล็กน้อย และมองไปที่มู่หว่านโหรวโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ “ขอบพระทัยสำหรับคำเตือนสติขององค์หญิงเพคะ”

 

 

“ฮึ่ม” มู่หว่านโหรวตอบรับอย่างเย็นชาและหันกลับมา “พวกเราไปกันเถอะ!”

 

 

หลังจากพูดจบ นางก็พาเหล่าองครักษ์ออกจากตระกูลลู่ไป

 

 

เจียงหลียิ้มที่มุมปาก จ้องมองไปที่ด้านหลังของนาง ด้วยสายตาที่เย็นชา

 

 

“ท่านอาจารย์หนานยังไม่ไปหรือ” ลู่เจี้ยมองไปที่แขกอีกคนที่ยังอยู่ในบ้านของตระกูลลู่ในเวลานี้ พลางยิ้มอย่างขี้เล่น

 

 

หนานอู๋เฮิ่นยิ้มๆ แล้วหยิบป้ายแผ่นหนึ่งออกมาจากอก และพูดกับลู่เจี้ยว่า “ครั้งที่แล้วข้ารีบมาก ลืมเอาป้ายตอบรับไว้ให้แก่เจียงหลี ในวันนี้จึงเอามาให้โดยเฉพาะ”

 

 

ลู่เจี้ยมองไปที่เจียงหลี แต่เจียงหลีมองไปที่ป้ายในมือของหนานอู๋เฮิ่น

 

 

หลังจากนั้น นางก็ก้าวไปหาหนานอู๋เฮิ่น และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ออกมาจากตัวเขามากขึ้นเท่านั้น

 

 

“แม่สาวน้อยเจียงเจ้าเก่งมาก หากเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ชายของเจ้าเลย” หนานอู๋เฮิ่นพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

 

 

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเจียงเฮ่า สายตาของเจียงหลีก็หรี่ลง และขณะที่เขารับป้ายนั้นมา ก็ได้ถามอย่างไม่เป็นทางการว่า “ท่านอาจารย์หนานรู้จักพี่ชายข้าด้วยหรือ”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นพยักหน้า “พรสวรรค์ของเจียงเฮ่านั้น ถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงซั่งตู สถาบันไป๋หยวนของข้ามีอะไรที่ไม่รู้บ้าง แต่น่าเสียดาย…” เขาหยุดยิ้มและส่ายหัว แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าจะเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

!

 

 

เจียงเฮ่าไม่ได้อยู่ในสถาบันไป๋หยวนอย่างนั้นหรือ หรือเขาจงใจจะทอดสอบ ดวงตาของเจียงหลีเต็มไปด้วยความสงสัย นางเดาไม่ออกว่าหนานอู๋เฮิ่นหมายถึงอะไร “ไม่ทราบเบาะแส”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นพยักหน้าอย่างกะทันหัน และไม่ได้ถามต่อ เมื่อเห็นว่าเจียงหลีรับป้ายไปแล้ว เขาก็กุมมือขึ้นมาและหันไปทางลู่เจี้ย “วันนี้มารบกวนแล้ว อู๋เฮิ่นขอลากลับก่อน”

 

 

“ลู่จ้าน ส่งท่านอาจารย์หนาน” ลู่เจี้ยพูดด้วยเสียงที่เบา

 

 

ลู่จ้านเดินไปทันที และได้พาหนานอู๋เฮิ่นออกไป เหล่าองครักษ์ตระกูลลู่ที่อยู่โดยรอบ ก็แยกย้ายถอยออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

เจียงหลีมองไปรอบๆ ห้องโถงที่ถูกทำลาย มองไปที่ลู่เจี้ย และถามถึงผลงานของเขา “ข้าทำได้ดีใช่ไหม”

 

 

ลู่เจี้ยทำหน้าเข้มแล้วพยักหน้ารับ “อืม ดีมาก” เขารู้สึกว่า เมื่อเจียงหลีดุร้าย นางน่ารักยิ่งนัก มันทำให้เขามีความสุข

 

 

ดวงตาของเจียงหลีหันมา รอยยิ้มที่พึงพอใจก็ปรากฏขึ้น “เนื่องจากผลงานดี แล้วท่านจะให้รางวัลหรือไม่”

 

 

“หลีเอ๋อร์อยากได้อะไร” ลู่เจี้ยถามด้วยความสนใจ

 

 

เจียงหลีค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขา มานั่งอยู่ตรงหน้าที่นั่งอวิ๋นจิ่น พับมือและวางลงบนตักของเขาวางคางของตนบนหลังมือ เงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มและกล่าวคำขอของตนว่า “ข้าอยากเป็นเนี่ยนซือ”

 

 

ทันใดนั้นนางก็ประพฤติตัวเรียบร้อย ทำให้ลู่เจี้ยหรี่ตาแล้วก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ที่แท้ หลีเอ๋อร์ก็มีช่วงเวลาที่ยั่วยวนผู้อื่นเช่นกัน”

 

 

“นายน้อยเป็นคนที่งดงาม ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับนายน้อยได้ แต่เพื่อเป็นเนี่ยนซือ ข้าจึงลองดู แต่ นายน้อยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ที่นายน้อยรับปากกับข้า ไม่อาจผิดสัญญาได้” เจียงหลียังคงยิ้ม

 

 

เพียงแต่ว่า ในดวงตาของนางนี้ กลับถูกลู่เจี้ยสังเกตเห็น…

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset