แท้จริงแล้วเจียงหลีไม่คุ้นเคยกับคนที่เดินตรงมานัก แต่ว่า รู้จักกันนั้นเป็นความจริง และเกลียดชังกันนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน แต่จุดเริ่มต้นในความบาดหมางของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นเจียงเฮ่าพี่ชายของนาง
“โจวเย่าจู่?” เจียงหลีเรียกชื่อเขาอย่างไม่จริงจัง
ดวงตาของโจวเย่าจู่แสดงความตื่นเต้นที่ดุร้าย และเดินนำผู้ติดตาม เดินตรงไปหาเจียงหลี “แล้วพี่ชายผู้ต้องหลบหนีของเจ้าล่ะ เขาสาบานว่าจะเข้าสู่สถาบันไป๋หยวนไม่ใช่หรือ วันนี้ข้ามารายงานตัวแล้ว แล้วตัวเขาล่ะ”
ดวงตาที่สดใสของเจียงหลีกะพริบถี่ๆ
น่าเสียดายที่โจวเย่าจู่ผู้มัวอยู่กับความวุ่นวาย จึงไม่เห็นความเย็นชาในดวงตาของนาง
เจียงหลีดึงสายตากลับมาอย่างช้าๆ และกำลังจะเดินไปเข้าแถวทางซ้าย เพราะนางมีป้ายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกจากหนานอู๋เฮิ่น และแน่นอนว่านางไม่จำเป็นต้องเข้าแถวทางด้านขวา
แต่ทันทีที่นางขยับตัว โจวเย่าจู่ก็ไปยืนขวางอยู่ตรงหน้านาง กางมือทั้งสองข้างออก ขวางเส้นทางของนางเอาไว้
เจียงหลีขมวดคิ้ว และพูดอย่างเย็นชา “สุนัขที่ดีไม่ยืนขวางทาง”
เมื่อได้ยินเจียงหลีเรียกเขาว่าสุนัข แววตาของโจวเย่าจู่ก็เปลี่ยนไป “นังนี่ เจ้าพูดว่าอะไรนะ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย”
เจียงหลียิ้ม “ผู้ที่พ่ายแพ้แก่พี่ชายข้า ไม่สิ ไม่สามารถเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ มันถือได้ว่าเป็นเพียงการทำให้อับอายเท่านั้น เขาสมควรที่จะมาตะโกนต่อหน้าข้าอีกหรือ
“เจียงหลี! เจ้ากล้านักใช่ไหม เจ้าคิดว่าพี่ชายของเจ้ายังอยู่อีกหรือ ตอนนี้เขาไม่ใช่เทียนเจียวของตระกูลเจียงของพวกเจ้าแล้ว เป็นแค่ผู้หลบหนีคนหนึ่งเท่านั้น บุตรชายของขุนนางที่มีความผิดมหันต์! เจ้าเองก็เป็นแค่บุตรตรีของคุณนางที่มีความผิด หากไม่ได้พระกรุณาจากฮ่องเต้ ตระกูลเจียงของเจ้าจะต้องสูญเสียหัวไปแล้วทีละคน!” โจวเย่าจู่สบถด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
เสียงของเขา ดึงดูดผู้คนมากมายในแถวให้มองมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของทุกคนที่มองไปทางเจียงหลีก็เปลี่ยนไป คำว่า ‘ลูกหลานของผู้ต้องโทษ’ ถูกตีตราลงบนใบหน้าของเจียงหลีเสียแล้ว
ใบหน้าเล็กๆ ของเจียงหลีเย็นลงเล็กน้อย
โจวเย่าจู่ผู้นี้เคยต่อสู้กับเจียงเฮ่าในทุกหนทุกแห่ง และต้องการต่อสู้แย่งชิงกับเจียงเฮ่าในทุกสิ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าการต่อสู้แบบนี้ สาเหตุเป็นเพราะความคิดเห็นทางการเมือง ของเจียงหลินเฟิงแตกต่างจากโจวเผิงบิดาของโจวเย่าจู่หรือเปล่า
แต่ว่า เขาต้องการแข่งขันกับเจียงเฮ่า แต่ในทุกครั้งเขาก็แพ้ให้แก่เจียงเฮ่า
“โจวเย่าจู่ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ไสหัวไปให้พ้น” เจียงหลีไม่ต้องการพาตัวเองไปเกี่ยวข้อให้กับเรื่องเก่าๆ ปัญหาเดิมๆ เหล่านี้
แต่เห็นได้ชัดว่า โจวเย่าจู่ไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยคนในตระกูลเจียงไปอย่างง่ายๆ
“เจ้าบอกให้ข้าไสหัวไปให้พ้น?” โจวเย่าจู่ยิ้มอย่างร้ายกาจ “เจียงหลีเจ้าลืมไปหรือ ว่าใครเป็นคนขังเจ้าไว้ในวัดซอมซ่อในตอนนั้น ใครกันนะที่กลัวจนร้องไห้ทั้งคืนและป่วยเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากที่เป็นพวกไพร่แล้ว ก็เริ่มรู้จักเกรี้ยวกราดแล้วหรือ! “
ดวงตาของเจียงหลีไม่สามารถคาดเดาได้
คนที่ประสบกับสิ่งที่โจวเย่าจู่พูดไม่ใช่นาง แต่เป็นร่างเดิม อย่างไรก็ตาม ด้วยคำพูดของเขา ความทรงจำเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของใจนาง
นั่นคือตอนที่เจียงลีอายุได้สิบขวบ โจวเย่าจู่ต้องการท้าทายเจียงเฮ่า แต่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงแอบพาตัวนางออกไป และขังไว้ในวัดที่ปรักหักพังบนภูเขา เพื่อพยายามบังคับให้เจียงเฮ่ายอมจำนน
คืนนั้นมีฝนตกฟ้าคะนองฟ้าผ่าและฟ้าร้อง
ที่ตระกูลเจียง ต่างพากันหานางอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งเจียงเฮ่าได้รับหนังสือท้าทายของโจวเย่าจู่ จึงรู้ว่าเจียงหลีถูกโจวเย่าจู่จับตัวไป
เพื่อช่วยน้องสาวให้กลับมา เจียงเฮ่าไปตามที่นัดหมายคนเดียว ไปถึงสถานที่ที่ตกลงกันไว้ แต่กลับพบว่าไม่ใช่โจวเย่าจู่ที่จะต่อสู้กับเขา แต่กลับเป็นยอดฝีมือสองคนที่เขาจ้างมา
เจียงเฮ่าในตอนนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปี การฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับที่เจ็ดของหลิงซือ ผู้ที่ต่อสู้กับเขาล้วนเป็นทหารผ่านศึกของหลิงซือในระดับแปด
เพราะน้องสาวถูกจับไป เจียงเฮ่าต้องต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง เกือบจะต้องเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็เอาชนะสองคนนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด จึงบังคับให้โจวเย่าจู่บอกที่อยู่ของเจียงหลี หลังจากนั้นก็ไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง ฝ่าฝนที่ตกหนักเพื่อไปหาเจียงหลีที่หวาดกลัวเป็นไข้และได้พากลับมา
ดวงตาของเจียงหรี่ลงเล็กน้อย และในดวงตาที่สดใสเหล่านั้น ดูเหมือนว่าจะมีภาพสายฝนที่ตกหนักถนนบนภูเขาที่เต็มไปด้วยโคลน มีชายหนุ่มที่ร่างกายเปื้อนเลือด แบกนางไว้ที่หลังและวิ่งอย่างไม่หยุด
เขาถอดเสื้อผ้าของตนออก คลุมร่างของนางเอาไว้ หาใบไม้ขนาดใหญ่เพื่อปกป้องนางจากสายฝน และคอยพูดคุยกับนาง ร้องไห้และอ้อนวอนเพียงเพราะกลัวว่านางจะหลับไป
“…อาหลี … อย่านอนหลับนะ…พี่จะพาเจ้ากลับบ้าน…เด็กดี อย่าหลับนะ…พี่สัญญากับเจ้า… พรุ่งนี้จะซื้อเกาลัดหวานที่เจ้าชื่นชอบให้เจ้ากิน…อาหลี…อาหลี…”
“นังนี่นิ ข้ากำลังพูดกับเจ้า!”
คำพูดของโจวเย่าจู่ ขัดจังหวะความทรงจำของเจียงหลี
สายตาของนาง จ้องมองไปที่โจวเย่าจู่ที่อยู่ตรงหน้านาง เมื่อเห็นเขาเหวี่ยงหมัดมาที่ใบหน้าของตน
“เจ้ามันแค่เศษสวะ เจ้ากล้ามาที่สถาบันไป๋หยวนได้อย่างไร เจ้าคิดว่าเมื่อเจ้าเข้าสู่สถาบันไป๋หยวนแล้ว เจ้าจะสามารถแก้แค้นแทนตระกูลเจียงของเจ้าได้หรือ ถึงแม้สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเจียงเฮ่าเป็นผู้หลบหนีได้ ข้าจะบอกเจ้าว่าตระกูลเจียงของเจ้ามันได้จบลงแล้ว! ผู้มีอำนาจคนปัจจุบัน เป็นท่านพ่อของข้า! จวนตระกูลเจียงของเจ้า ตอนนี้มันกลายเป็นจวนโจวของข้าแล้ว! “
ดวงตาของเจียงหลีหดตัวลงอย่างกะทันหัน ราวกับว่ากำลังยกมือขึ้นอย่างช้าๆ แต่จับข้อมือของโจวเย่าจู่เอาไว้ได้อย่างแม่นยำ จับมือของเขาให้มาใกล้แก้มของนาง ใกล้จนไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกต่อไป
โจวเย่าจู่ผงะ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจียงหลีจะคว้ามือของเขาไว้ได้
นางคือเศษสวะที่ยังไม่ได้เบิกเนตรญาณไม่ใช่หรือ
“เจียงหลี เจ้าปล่อยข้านะ!” โจวเย่าจู่กล่าวอย่างกังวล ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขา เมื่อเห็นนายน้อยถูกจับ ก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเช่นกัน
และบรรดาผู้ที่ตื่นตระหนก เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ก็แสดงท่าทางแปลกๆ
โจวเย่าจู่นำผู้คนมาขวางหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างหยิ่งผยอง แต่จู่ๆ ก็เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่ ถูกสาวน้อยตอบโต้
โจวเย่าจู่คนนี้ ไร้ประโยชน์จริงๆ!
หลายคนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
เจียงหลีบิดอย่างแรง และพลิกมือของโจวเย่าจู่
“อ้ากกกก เจ็บๆๆ” ร่างกายโจวเย่าจู่สั่นระริก ร้องว่าเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า
“นายน้อย!”
“ปล่อยตัวนายน้อยของพวกข้าซะ เจ้าไม่ใช่คนที่จะมาทำให้ตระกูลโจวผิดใจได้”
คนรับใช้สองคนของโจวเย่าจู่กลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ กลัวว่าเจียงหลีจะทำร้ายโจวเย่าจู่อีกครั้ง พวกเขาทำได้แค่พูดเตือน
เจียงหลียิ้มอย่างดูถูก ยกเท้าเตะ เตะเข้าที่ท้องโจวเย่าจู่โดยตรง ในขณะเดียวกันก็ปล่อยมือปล่อยให้ร่างของเขาลอยขึ้นและตกลงบนพื้น
ท่าทางการตกลงมาของโจวเย่าจู่นั้นตลกมาก จนทุกคนรอบข้างส่งเสียงหัวเราะ
“นายน้อย!”
คนรับใช้สองคนของตระกูลโจวดูกังวล รีบช่วยโจวเย่าจู่ขึ้นมา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนายน้อย พวกเขาที่เป็นบ่าวไพร่ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่
เสียงหัวเราะรอบตัว ทำให้ใบหน้าของโจวเย่าจู่รู้สึกแสบร้อน
เขาผลักคนใช้ที่มาพยุงตังเขาออกไป ดวงตาราวกับมียาพิษจ้องมองไปที่เจียงหลี “เจียงหลี! เจ้ายังต้องการเข้าสู่สถาบันไป๋หยวนหรือไม่ หึ! ข้าขอบอกเจ้า หากมีข้าอยู่ เจ้าไม่มีวันเข้าประตูสถาบันไป๋หยวนได้แน่”
แน่นอน ทันทีที่เสียงของเขาจบลง เจียงหลีก็ยกมือขึ้น และป้ายที่มีสัญลักษณ์ของสถาบันไป๋หยวนก็หลุดออกมา
ปลายด้านหนึ่งของตราถูกมัดด้วยเชือก และมัดเข้ากับนิ้วของเจียงหลี ตราถูกดึงด้วยเชือกและเขย่าอย่างช้าๆ
เมื่อป้ายปรากฏขึ้น คนรอบข้างก็เงียบเสียงลงอย่างประหลาด
โจวเย่าจู่กลืนน้ำลาย และจ้องไปที่ป้ายด้วยสีหน้าย่ำแย่ ‘ป้ายผู้ถูกคัดเลือกของสถาบันไป๋หยวน!’
ทำไมเจียงหลีถึงมีมัน! ของชิ้นนี้ท่านพ่อของเขาออกหน้าให้แล้วยังไม่ได้รับเลย!