จากนั้นไม่นานนักก็ได้มีหน้าต่างข้อความหนึ่งปรากฏขึ้น
[ ผู้เล่นได้ผ่านระดับเริ่มต้นแล้ว หน้าต่างข้อมูลแนะนำจึงจะถูกลบออก ]
[ ผู้เล่นได้ค้นพบร้านค้าดันเจี้ยน ]
ลู่หมิงแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆก็มีหน้าต่างร้านค้าดันเจี้ยนปรากฏขึ้นมา เพราะร้านค้าดันเจี้ยนนั้นจะปรากฏขึ้นมาโดยการสุ่มหลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนได้เท่านั้น ซึ่งสิ่งของที่ขายอยู่ด้านในนั้นก็สามารถซื้อได้ด้วยคะแนน BP และสิ่งของในนั้นก็มีอยู่มากมายหลายหมวดหมู่
มีทั้งอาวุธ เสื้อผ้า ชุดเกราะ อาหาร ยา หรือแม้แต่แผนที่และชิ้นส่วนของมอนสเตอร์ที่เหมาะแก่การนำไปสร้างอุปกรณ์ ลู่หมิงจ้องมองสิ่งของในร้านค้าเล็กน้อย ก่อนจะเลือกซื้อหอกระดับยูนิคมาด้ามหนึ่ง กับพวกยาต่างๆที่จำเป็น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เขาสนใจอีก
แม้เพียงจะซื้อของไม่กี่ชิ้นแต่เขากลับเสียแต้ม BP ไปเกือบสองแสน หลังจากปิดหน้าต่างร้านค้าไป เขาก็หันไปมองรอบๆห้องของบอส ก่อนจะพบประตูบ้านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นทางออกของดันเจี้ยน
แต่ลู่หมิงไม่ได้เร่งรีบที่จะออกจากดันเจี้ยนในตอนนี้ เขาจึงเดินไปสำรวจรอบๆห้องของบอสเพื่อหาบางอย่าง เขาเสียเวลาอยู่สักพักก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา
ลู่หมิงมองแท่นบูชาอย่างจริงจังเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสมันเบาๆ และดูเหมือนว่าเจ้าแท่นบูชานี้จะขยับได้ ลู่หมิงใช้แรงเล็กน้อยเพื่อที่จะดันแท่นบูชา
ครืดดดดด ~
แท่นบูชาถูกผลักออกเผยให้เห็นบันไดที่ทอดยาวลงไปด้านใน ลู่หมิงเอาไฟฉายออกมาก่อนจะเดินลงไปด้านล่าง
เมื่อลงมาด้านล่างลู่หมิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกใจเล็กน้อยเพราะทั้งกำแพง เพดาน และทางเดินถุกทำด้วยหินอ่อนแม้จะไม่ใช่หินอ่อนคุณภาพสูงแต่ก็ถือว่าเป็นของที่มีราคาไม่น้อย ทำเอาลู่หมิงอดสงสัยไม่ได้ว่าที่แห่งนี้ถูกสร้างโดยใคร
ลู่หมิงเดินมาสุดทางเดินก็พบกับประตูหินอ่อนบานใหญ่ ที่ถูกสลักด้วยอักษรที่แปลกตา แต่สำหรับลู่หมิงเขารู้ว่าตัวอักษรเหล่านี้คืออะไร มันคืออักษรของพวกเอลฟ์
ลู่หมิงลูบไปที่ประตูเล็กน้อยก่อนจะอ่านประโยคที่ถูกสลักอยู่บนประตู
“แด่เอโดเรีย…”
‘เอโดเรีย ? ใครกัน ?’
ลู่หมิงสับสนเล็กน้อย แม้ในอดีตเขาจะไม่ได้สนิทกับเอลฟ์เท่าไหร่นัก แต่เขาก็พอจะรู้จักชื่อของผู้ยิ่งใหญ่ในเผ่าเอลฟ์อยู่บ้าง แต่เอโดเรียนี้ใครกัน ?
ลู่หมิงพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เขาจึงเลิกที่จะสนใจและผลักประตูหินอ่อนให้เปิดออก เพื่อที่จะเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาด้านในลู่หมิงก็พบว่าภายในนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับไม่ใช่สุสาน มันเหมือนกับห้องนอนเสียมากกว่า เพราะเขาพบกับเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านในสุดของห้อง
ลู่หมิงเดินสำรวจรอบๆห้องก็พบว่าในห้องนี้ไม่ได้มีสมบัติอื่นใดนอกเสียจากเตียงนั่น เขาจึงตัดสินที่จะเดินเข้าไปดู
เมื่อลู่หมิงมาหยุดอยู่ตรงเตียงเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึง เพราะตรงหน้าของเขานั้นเป็นร่างของเอลฟ์สาวที่แสนงดงามกำลังนอนอยู่
ลู่หมิงอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเธอกับชื่อของเอโดเรียที่ถูกสลักอยู่ตรงประตู ทำให้ลู่หมิงคาดว่านี่คงจะเป็นสุสานของเธอ เมื่อมองใกล้ๆลู่หมิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะรอบๆเตียงนั้นเต็มไปด้วยอักษรรูนจำนวนมากคาดว่าคงถูกสลักเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ศพมีการเน่าเปื่อย
แต่สิ่งที่ดึงดูดเขาที่สุดไม่ใช่เตียงที่เต็มไปด้วยอักษรรูน หรือร่างอันไร้วิญญาณของเอลฟ์สาว แต่เป็นสิ่งที่อยู่บนมือของเธอ
นั่นคือสิ่งที่เขากำลังตามหา ‘กิ่งของต้นมิสเทลเรียร์’ ต้นมิสเทลเรียร์นั้นเป็นต้นไม้ที่เหล่าเอลฟ์นั้นเคารพบูชาเพราะพวกเขาเชื่อว่าต้นมิสเทลเรียร์นั้นเป็นดั่งผู้มอบชีวิตให้ทุกสรรพสิ่ง มันคือตัวแทนของเทพแห่งชีวิต
แต่ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาต้นมิสเทลเรียร์เริ่มที่จะเหี่ยวเฉาลงทีละน้อยเพราะพลังชีวิตของมันกำลังจะหมดลง และสิ่งที่จะช่วยให้พลังชีวิตของต้นมิสเทลเรียร์กลับมาได้ก็คือ กิ่งเหล่านั้นซึ่งอันแน่นไปด้วยพลังชีวิตจำนวนมหาศาลมากพอที่จะให้ต้นมิสเทลเรียร์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ลู่หมิงมองไปที่เอลฟ์สาวเล็กน้อยก่อนจะทำท่าทีเคารพศพ
‘เธอคงจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ’
ทันทีที่ลู่หมิงได้ยื่นมือออกไปจับที่กิ่งของต้นมิสเทลเรียร์ในมือของเธอ กระแสลมอันรุนแรงก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับพัดร่างของลู่หมิงให้กระเด็นออกไปจนชนกับแพงของห้อง
ลู่หมิงร้องอวดครวญเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด และเขาก็ต้องตื่นตกใจเมื่อเห็นว่ามีร่างร่างหนึ่งกำลังยืนมองเขาอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ เอโดเรียนั่นเอง