ลู่หมิงจ้องมองเอโดเรียเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาและกล่าวกับเธอว่า
“ท่านหญิงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ยังไงนี่ก็เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้ว”
เอโดเรียพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ถึงจะเป็นอย่างงั้น แต่เจ้าคิดว่าเราจะเชื่อใจมนุษย์ที่เต็มไปด้วความโลภงั้นเหรอ ?”
ลู่หมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถึงแม้เอลฟ์นั้นจะเป็นมิตรกับทุกเผ่าพันธุ์แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเชื่อใจคนเหล่านั้น
เมื่อเห็นว่าลู่หมิงไม่มีท่าทีอะไรต่อ เอโดเรียก็ได้พูดขึ้น
“เอาละ ฉันจะนอนต่อแล้วฉะนั้นเพื่อที่จะไม่ให้นายรบกวนเวลานอนของฉัน ฉันจะส่งนายไปที่ทางออกโดยตรงก็แล้วกัน”
ลู่หมิงได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวขอบคุณเอโดเรีย
“ขอบคุณมากท่านหญิง นั่นช่วยผมได้มากเลย”
เอโดเรียสบัดมือไปมาบ่งบอกให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ร่ายเวทย์บางอย่าง วงแหวนเวทย์ก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของลู่หมิงก่อนที่ร่างของลู่หมิงจะหายไป บรรยากาศด้านหลังของเอโดเรียก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนจะเกิดรอยปริแตก
อากาศด้านหลังของเอโดเรียแตกออก ลู่หมิงที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับตกตะลึง
‘รอยแยกมิติ !? นี้เธอสามารถควบคุมรอยแยกมิติได้งั้นเหรอ !?’
ลู่หมิงถึงกับตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นการกระทำของเอโดเรีย ต้องบอกก่อนว่าการที่คนคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญเวทมนต์สักแขนงหรือสักธาตุหนึ่งเป็นอะไรที่ยากอย่างมาก และหนึ่งในเวทมนต์ที่เรียนรู้ยากที่สุดก็คือเวทมนต์ประเภทมิติและกาลเวลา ซึ่งการที่จะเข้าใจมันนั้นเป็นอะไรที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อจนถึงขั้นมีนักเวทย์บางคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้
แต่เอลฟ์สาวตรงหน้าของลู่หมิงนั้นกลับมีเข้าใจเวทย์ประเภทมิติและกาลเวลาถึงขั้นสามารถสร้างรอยแยกมิติได้นี่จะไม่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงได้ยังไง
ดูเหมือนว่าเอโดเรียจะล่วงรู้ความคิดของลู่หมิง เธอหัวเราะคิกคักเล็กน้อยก่อนจะส่งลู่หมิงเข้าสู่วงเวทย์เคลื่อนย้าย ส่วนตัวของเธอนั้นก็เข้าไปในรอยแยกมิตินั้นทันที
การกระทำของเอโดเรียทำให้ตัวของลู่หมิงอดคิดไม่ได้ว่า เธอนั้นไม่ได้ตายอย่างแท้จริงอาจเพียงแค่หลับไปตามที่เธอบอกเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นคำถามที่เขาคงจะไม่ได้รับคำตอบจนกว่าจะได้พบเจอเธออีกครั้ง
ลู่หมิงลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนั้นถูกส่งออกมาที่ทางเข้าดันเจี้ยน เขามองไปที่รอบๆตัวเองเล็กน้อยก่อนจะต้องตกใจเพราะรอบๆตัวเขานั้นเต็มไปด้วยซอมบี้นับพันตัว เมื่อเห็นดังนั้นลู่หมิงก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงรอยยิ้มของเอโดเรียเมื่อครู่ เกรงว่าเธอคงรู้สถานะการณ์ด้านนอกและจงใจส่งเขาออกมาเพื่อกลั่นแกล้ง
ลู่หมิงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาเมื่อคิดได้แบบนั้น
“ให้ตายสิ จะเล่นกันแบบนี้งั้นเหรอ”
หัวส่ายหัวก่อนจะกำชับหอกในมือและพุ่งเข้าใส่ฝูงซอมบี้
………………………………………..
เมืองหลวง
จางเหว่ยเดินออกมาจากห้องพักของเขาด้วยท่าทีเร่งรีบเล็กน้อย ตามหลังมาด้วยอันหยาและซูรั่วหลิน อันหยาที่เดินตามมาได้สักพักก็ถามจางเหว่ยด้วยความสงสัยว่า
“เราจะไปไหนกันงั้นเหรอ ?”
จางเหว่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า
“รางวัลจากภารกิจครั้งก่อนพึ่งจะถูกโอนมานะ ฉันเลยคิดว่าจะออกไปหาลุงเสวียเพื่อให้เขาสร้างอาวุธให้สักหน่อย”
อันหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“ไม่รู้ว่าลู่หมิงเป็นยังไงบ้าง”
ซูรั่วหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า เพราะตั้งแต่ที่ทั้งสี่คนแยกจากลู่หมิงที่สถานีรถไฟนั้นพวกเขาก็ติดต่อกันแทบจะนับครั้งไดด้วยมือเดียว ส่วนจางอี้เฟยนั้นหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงเธอก็ขอตัวไปช่วยงานที่บ้านซึ่งได้รับมอบหมายเกี่ยวกับกรมการคลัง
ส่วนทั้งสามคนก็จับทีมกันและคอยออกล่ามอนสเตอร์เพื่อพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อหวังว่าจะได้ตามลู่หมิงทัน โดยที่มีจางเหว่ยเป็นแนวหน้า และมีอันหยาและซูรั่วหลินคอยสนับสนุนอยู่แนวหลัง
เนื่องจากอันหยาเป็นแฟนของจางเหว่ยและเป็นเพื่อนกับซูรั่วหลิน ทั้งสามคนจึงสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีและด้วยการที่รู้จักการมานาน ส่วนแบ่งของการล่าแต่ละครั้งจึงไม่มีปัญหา
จางเหว่ยที่รู้ว่าทั้งสองสาวเป็นห่วงลู่หมิง เขาจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าลู่หมิงหรอก เจ้านั่นนะตายยากจะตายไป”
“ฉันได้ยินมาจากพ่อว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าลู่หมิงพึ่งเดินทางไปถึงเมืองไห่ผิง”
อันหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ถามด้วยความสงสัย
“ลู่หมิงติดต่อกับพ่อของนายเหรอ ?”
จางเหว่ยพยักหน้า
“ใช่แล้ว พ่อของฉันได้ยื่นข้อเสนอให้กับเขาเพื่อแลกกับการเบิกอาวุธของกองทัพ กับสิทธิพิเศษระดับสูงนะ”
“ข้อเสนอ ?”
ซูรั่วหลินถามด้วยความสงสัย จางเหว่ยจึงบอกว่า
“พอดีว่าพ่อของฉันถามเรื่องการเดินทางของลู่หมิงนะ หลังจากที่พ่อรู้เขาก็ยื่นข้อเสนอให้โดยการที่ให้ลู่หมิงส่งข่าวคราวเกี่ยวกับเมืองต่างๆที่เจ้านั่นเดินทางผ่าน และก็ข้อมูลของมอนสเตอร์ที่พบเจอ เพื่อที่จะง่ายต่อการให้ทางกองทัพทำงาน”
“ก็เหมือนกับทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองกรายๆนั่นแหละ”
เมื่ออันหยาและซูรั่วหลินได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ จางเหว่ยที่ได้เห็นแบบนั้นก็ยิ้มก่อนจะพูดว่า
“เอาละ เดียวฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอเอง”
อันหยาและซูรั่วหลินมองหน้ากันก่อนจะยิ้ม พวกเธอรู้ว่าแม้จางเหว่ยจะทำตัวตามสบายอยู่ตลอดเวลาแต่ลึกๆแล้วในทั้งสามคน จางเหว่ยเป็นคนที่เป็นห่วงลู่หมิงที่สุดเพราะเขานั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นจึงไม่แปลกที่จางเหว่ยจะเป็นห่วงในตัวลู่หมิงมากกว่าใครๆ
………………………………………..
กลับมาที่ลู่หมิงเขากำลังนั่งกินน่องไก่พร้อมกับมองแผนที่ในมือของเขา ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“เป้าหมายต่อไป เมืองท่าเดลพ็อต !”