เมื่อออกมาจากกิลด์ลู่หมิงก็เดินตรงไปที่ท่าเรือทันที ก่อนจะถามหานายท่าจากผู้คนแถวนั้น ไม่นานนักลู่หมิงมาก็ยืนคุยอยู่กับชายวัยกลางคนร่างใหญ่ เขามองลู่หมิงเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“นายกำลังตามหาฉันอยู่งั้นเหรอ ?”
ลู่หมิงพยักหน้าก่อนจะถามกลับไปว่า
“คุณคือนายท่าเซลใช่ไหม ?”
ชายผู้ถูกเรียกว่าเซลก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามกลับมาว่า
“แล้วนายมีธุระอะไรกับฉันกันล่ะ ?”
“ผมอยากจะถามเกี่ยวกับเรือที่เดินทางไปเเอเทลเรียร์นะ”
เมื่อนายท่าเซลได้ยินแบบนั้นก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะลูบคางตัวเอง
“นายจะเดินทางไปเอเทลเรียร์งั้นเหรอ ?”
ลู่หมิงพยักหน้าก่อนจะพูดว่า
“พอดีผมได้รับไหว้วานให้นำจดหมายไปส่งที่เอเทลเรียร์น่ะ”
นายท่าเซลได้ยินแบบนั้นก็ลูบคางพร้อมกับจ้องมองลู่หมิงอย่างจริงจัง เพราะเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นดูแล้วไม่มีท่าทีหรือวี่แววให้น่าไหว้วานเลยแม้แต่น้อย
ต้องบอกก่อนว่าการเดินทางข้ามทวีปนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอันตราย แม้การเดินทางข้ามทะเลหรือแม่น้ำขนาดใหญ่จะมีเรือหรือเรือเหาะโดยสารทำให้ไม่ต้องกังวลกับพวกมอนสเตอร์ก็ตาม แต่มอนสเตอร์ตามป่าเขานั้นถือเป็นอะไรที่อันตราย
ฉะนั้นเควสต่างๆที่มีการเดินทางข้ามทวีปมักจะมีการไหว้วานนักผจญภัยระดับสูงกันทั้งนั้น แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นแลดูไม่มีอะไรที่บ่งบอกเหมือนจะเก็บนักผจญภัยระดับสูงเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ต้องบอกตารางเดินเรือให้กับลู่หมิงให้ฟังอยู่ดี นั่นก็เพราะเขาเป็นลูกค้านี่หน่า
“เรือที่จะไปเอเทลเรียร์จะเทียบท่าวันพรุ่งนี้ในช่วงเย็น และต้องอยู่เติมเสบียงในอีกสองวัน”
ลู่หมิงได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะกล่าวขอบคุณนายท่าเซล และเดินไปหาโรงแรมเพื่อพักผ่อนเขานั้นอยากจะนอนเตียงนุ่มๆจะตายอยู่แล้ว เพราะตลอดการเดินทางถ้าเขาไม่นอนบนรถก็จะนอนในเต็นท์ดังนั้นเขาจึงคิดถึงเตียงเสียเหลือเกิน
ลู่หมิงเดินอยู่ในถนนย่านการค้าเล็กน้อยก็พบกับโรงแรมดีๆ ราคาคืนละสิบเหรียญเงิน ซึ่งที่มันมีราคาสูงก็เพราะมันมีห้องน้ำในตัว หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยลู่หมิงก็ได้ห้องพัก ซึ่งด้านในนั้นตกแต่งได้อย่างดีทีเดียว
ลู่หมิงนั่งอยู่บนเตียงขณะกำลังเช็ดหัวที่เปียกอยู่ ในขณะนั้นก็ได้มีข้อความเข้ามาในกล่องข้อความของเขาที่กำไลข้อมือ เป็นจางเหว่ยที่ส่งข้อความมา เป็นข้อความสั้นๆซึ่งเนื้อหาก็บอกเพียงว่า เมืองไห่ผิงถูกนำชื่อเข้าไปในทะเบียนเมืองที่ล่มสลายแล้ว
เมืองที่ล่มสลายนั้นคือระบบที่ทางรัฐบางสร้างขึ้น เพื่อเป็นการแจ้งให้กับประชาชนและคนอื่นๆได้รู้ว่าเมืองที่มีชื่อในทะเบียนนั้นคือเมืองที่จะไม่ได้รับมาตรการช่วยเหลือใดๆจากรัฐบาลจนกว่าทางรัฐบาลจะยกชื่อของเมืองนั้นเข้ามาในการประชุมอีกครั้ง
และการที่เมืองนั้นๆจะเข้ามาอยู่ในทะเบียนเมืองที่ล่มสลายได้ก็มีสาเหตุหลักๆมาจาก 1.เมืองถูกมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งยึดครองอยู่ 2.ภายในเมืองมีมอนสเตอร์จำนวนมากเกินไปไม่คุ้มที่จะเสี่ยงนำกำลังเข้ามายึดเมืองคืน และก็ยังมีเหตุผลอีกมากมายหลายอย่างที่รัฐบาลต้องการจะยกมาอ้าง แต่เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องในอนาคต
แต่สำหรับลู่หมิงแล้วเมืองไห่ผิงไม่ควรจะถูกปล่อยไว้นานเกินไป หากมอนสเตอร์ในเมืองเป็นมอนสเตอร์ชนิดอื่นลู่หมิงคงไม่คิดจะสนใจ แต่เนื่องจากมอนสเตอร์ในเมืองนั้นเป็นซอมบี้ซึ่งมีอัตตราการขยายจำนวนที่สูง ฉะนั้นการปล่อยมันเอาไว้นานเกินไปเป็นอะไรที่น่าเป็นกังวล
เขาจึงย้ำเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้ให้จางเหว่ยไปบอกกับจางจี้เฉิง เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างจะสำคัญ ซึ่งจางเหว่ยก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขาจะย้ำพ่อของเขาให้ หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของเขาจนมาถึงเดลพ็อตให้กับจางเหว่ยและคนอื่นๆได้ฟัง
ซึ่งทางนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะมองมาที่เขาอย่างอิจฉาที่อีกไม่นานเขาก็จะได้เดินทางไปทวีปอื่นแล้ว หลังจากนั้นก็คุยกันอีกสักพักก่อนจะวางสายทางซูรั่วหลินดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับเขาแต่ก็มีท่าทางอ้ำอึ้งเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร ทางเขาเองก็ไม่อยากจะคาดคั้นจึงได้แต่เงียบ
หลังจากนั้นสองวันเรือที่จะเดินทางไปเอเทลเรียร์ก็ได้มาจอดเทียบท่า ลู่หมิงออกจากโรงแรมและเดินทางไปที่ท่าเรือทันที ก่อนจะพบกับนายท่าเซลอีกครั้ง
หลังจากพูดคุยกับนายท่าเซล ลู่หมิงก็ได้รู้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือโดยสารซึ่งจะต้องจ่ายเงินค่าโดยสารแพงถึงหนึ่งเหรียญทองกับอีกห้าร้อยเหรียญเงิน
แม้จะดูแพงแต่ราคานี้นั่นก็รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะห้องพัก อาหาร และบริการอื่นๆ ซึ่งลู่หมิงก็ไม่ได้ขัดอะไรกับเงินจำนวนนี้แม้นั่นจะเป็นเงินเกือบทั้งหมดในตัวของเขาก็ตามที
เมื่อจ่ายเงินเสร็จลู่หมิงก็ได้รับตั๋วสำหรับขึ้นเรือ ซึ่งด้านหลังนั้นถูกสลักด้วยอักษรเวทย์เอาไว้ซึ่งป้องกันการปลอมแปลง เขาเดินขึ้นเรืออย่างสบายใจก่อนจะตรงไปที่ห้องพักของตัวเองทันทีและนอนลงบนเตียงพร้อมกับข่มตาลงให้หลับเพื่อพักผ่อน