รุ่งอรุณแห่งโลกาวินาศ ตอนที่ 54 : ราชินีอาเวล
ลู่หมิงเดินเข้ามาในเมืองก่อนจะต้องแปลกใจกับบรรยากาศ ด้านในมีต้นไม้ใหญ่มากมายอยู่ภายในเมือง ด้านบนต้นไม้มีบ้านอยู่มากมายถูกสร้างเอาไว้ บ้านแต่ละหลังถูกเชื่อมต่อกันโดยสะพานไม้ขนาดใหญ่
ลู่หมิงตื่นตะลึงกับฉากอันตระการตานี้เล็กน้อย ก่อนที่เอลฟ์หนุ่มตรงหน้าจะพาเขาเดินตรงไปยังบันไดขนาดใหญ่ที่อ ยู่ไม่ไกล
เอลฟ์หนุ่มพาลู่หมิงเดินไปตามสะพานไม้ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า ลู่หมิงสัมผัสได้เลยว่าไม้ที่เขาเหยียบอยู่นั้น ไม่ใช่ไม้ธรรมดาทั่วไป มันแผ่กลิ่นอายธรรมชาติอันน่าแปลกประหลาดออกมาอยู่ตลอดเวลา ลู่หมิงได้ดูดซับกลิ่นอายเหล่านั้นเข้าไปดูไม่รู้ตัวทําให้ทะเลลมปราณของเขาเริ่มเปลี่ยนรูปไปอย่างช้าๆ โดยที่เขาไม่ทันได้เอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเดินไปเดินมาอยู่นานเอลฟ์หนุ่มก็ได้พาลู่หมิงมายังปราสาทสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกสร้างอยู่ระหว่างต้นไม้ขนาดยักษ์สี่ต้น ภาพตรงหน้าทําเอาลู่หมิงถึงกับอึ้งอยู่สักพักเลยทีเดียว
จากนั้นเอลฟ์หนุ่มก็ได้ไปคุยอะไรบางอย่างกับทหารเอลฟ์ตรงด้านหน้าของปราสาท จากนั้นเขาก็เดินมาพูดกับลู่หมิงว่า
“นายยังไม่สามารถเข้าพบองค์ราชินีได้ในตอนนี้ เนื่องจากองค์ราชินีกําลังอยู่ในการประชุมสําคัญ เอาเป็นว่าฉันจะพานายเดินเที่ยวในเมืองก่อนก็แล้วกัน”
หมิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกไปเพราะในตอนนี้เขากําลังดีใจอยู่ที่ได้เดินเที่ยวในเมืองของเอลฟ์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกว่าเป็นหนึ่งในเมืองลับแลที่ลึกลับที่สุดในโลก
การเดินเที่ยวชมเมืองกับเอลฟ์หนุ่มหล่อทําให้เขารู้สึกแปลกๆแต่นั่นก็ทําให้ลู่หมิงเองก็รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเอลฟ์มากขึ้น อย่างแรกเลยคือ เอลฟ์นั้นแม้จะรังเกียจมนุษย์ แต่กับมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับแล้วพวกเขานั้นเป็นมิตรอย่างมาก เรียกได้ว่าสามารถกลายเป็นเพื่อนกันได้ในทันทีเลยทีเดียว
อย่างที่สองคือเอลฟ์นั้นไม่ได้เป็นศัตรูกับคนแคระอย่างที่เขาเข้าใจ แถมพวกเขายังเป็นพันธมิตรกันอีกด้วย เนื่องจากพวกเอลฟ์นั้นไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างอาวุธมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาเหล่าคนแคระให้สร้างของเหล่านั้นให้
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาได้เรียนรู้ และลู่หมิงยังได้รู้จักชื่อของเอลฟ์หนุ่มที่เป็นนําทัวร์เมืองอีกด้วย เขาชื่อเอลการ์ เป็นหัวหน้าหน่วยที่เจ็ดของเอลฟ์ผู้พิทักษ์ เอลการ์ถือว่าเป็นเอลฟ์ที่ค่อนข้างนิสัยดีเลยทีเดียวเขาแนะนําแทบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมืองนี้ให้ลู่หมิงได้ฟัง จนเรียกได้ว่าหากเขาได้มาที่นี้ อีกครั้งเขาจะไม่หลงอย่างแน่นอน
หลังจากเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองพักใหญ่ก็ได้มีทหาร เอลฟ์คนหนึ่งวิ่งมาเรียกเขากับเอลการ์ให้เข้าพบองค์ราชินี
ลู่หมิงและเอลการ์มาถึงปราสาทก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างตื่นเต้น ลู่หมิงเองก็เช่นกันเขาค่อนข้างที่จะตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับการที่จะได้พบตัวตนระดับราชินี แม้ลู่หมิงจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้มานานกว่ายี่สิบปี แต่ตัวตนของเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดจะพบคนอย่างราชินีหรือองค์จักรพรรดิของอาณาจักรได้ อย่างมากก็เข้าพบได้แค่พวกขุนนางเท่านั้น
ลู่หมิงเดินตามเอลการ์เข้ามาด้านในด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทหารเอลฟ์พาทั้งสองคนมายังด้านหน้าของห้องห้องหนึ่ง
ก่อนจะเข้าไปเอลการ์ก็ได้หันมาพูดกับลู่หมิงว่า
“หน้าที่ของฉันหมดเพียงเท่านี้แหละ เอาเป็นว่าโชคดีก็แล้วกันนะ”
เมื่อพูดจบเอลการ์ก็ตบไหล่ลู่หมิงก่อนจะยิ้มให้ ลู่หมิงกล่าวขอบคุณก่อนจะบอกลาเอลการ์และหันกลับมาปรับท่าทีของตัวเองให้ดูดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้ทําให้ผู้ที่อยู่ด้านในหงุดหงิด
หลังจากปรับอารมณ์เสร็จแล้ว ลู่หมิงก็ได้เปิดประตูเข้าไปด้านใน เมื่อเปิดประตูเข้ามาสู่หมิงก็ได้พบเจอกับเอลฟ์หญิงหน้าตางดงามหาใครเทียบคนหนึ่งกําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกถักขึ้นจากไม้ เธอกําลังนั่งกินผลไม้อยู่อย่างสบายใจราวกับว่าเรื่องที่
ลู่หมิงมาขอพบนั้นเป็นเพียงเรื่องราวเล็กน้อยเท่านั้น
เธอมองมาที่ลู่หมิงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงอันไพ
เราะ
“เจ้ามาขอพบเราด้วยเรื่องใดงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคําถามลู่หมิงก็ตั้งสติเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเธอไปว่า
“องค์ราชินี ข้ามาเพราะเรื่องของกิ่งของต้นมิสเทลเรียร์”
เมื่อราชินีอาเวลได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“โอ้ เป็นเช่นนั้น แล้วเจ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นกันล่ะ
ลู่หมิงพยักหน้าก่อนจะหยิบกิ่งของต้นมิสเทลเรียร์ออกมาจากกระเป๋าและยื่นมันให้กับราชินีอาเวล เมื่อราชินีอาเวลเห็นกิ่งของต้นมิสเทลเรียร์เธอก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาก่อนจะเอ่ยถามกับลู่หมิงว่า
“การที่เจ้าขอเข้าพบเราด้วยเรื่องนี้โดยไม่จําเป็นแสดงว่าเจ้ามีสิ่งที่อยากจะได้สินะ?”
ลู่หมิงที่ได้ยินแบบนั้นเขาก็พยักหน้าก่อนจะจ้องมองไปยังราชินีอาเวลเพื่อจะเอ่ยขอในสิ่งที่เขาต้องการ
“ข้าอยากให้ท่านช่วยสอนทุกอย่างที่ท่านรู้เกี่ยวกับเวทมนต์ให้ข้า”