ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตนเองจะเหลือทางถอยหรือไม่ นอกจากความตื่นตระหนกลนลานแล้ว เขาจำต้องยกย่องฝีมือการวางแผนและความกล้าของอีกฝ่าย!
ซือถูหนิงหลับตา ครั้นลืมตาอีกครั้ง สีหน้าก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว พลันคุกเข่ากระแทกพื้นดังตึก น้อมกายคารวะ พลางเอ่ยอย่างนบนอบว่า “ซือถูหนิงยอมเป็นสุนัขเป็นอาชารับใช้เชียนจ่ง จะซื่อสัตย์ภักดีตลอดไป แม้ตัวตายก็ไม่แปรเปลี่ยน!”
ชิวเยี่ยไป๋มองชายตรงหน้าแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม ความเย็นเยียบหายไปจากใบหน้า เหลือเพียงความอ่อนโยน กล่าวว่า “ซือถูอี้จ่าง โปรดลุกขึ้นเถิด!”
ปล่อยให้เป๋าเป่าและคนของเขาจัดการเก็บกวาดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตรอกหลังจากนี้ ชิวเยี่ยไป๋แหงนหน้ามองฟ้า จันทร์ลอยเด่นกลางนภาแล้ว
อืม ทางด้านวั่งไฉกับฟาต๋าก็น่าจะจัดการกับโจวอวี่เแล้ว นี่เป็นปลาตัวสุดท้ายที่ติดแห
ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะทนไม่ไหวจนทุบตีโจวอวี่หรือไม่ นึกถึงใบหน้าบวมปูดเขียวๆ ม่วงๆ ของโจวอวี่แล้ว นางก็รู้สึกเบิกบานใจ
ชิวเยี่ยไป๋หันกายเดินช้าๆ กลับไปยังหอไจซิง ตลอดทางสะกดลมปราณที่พลุ่งพล่านที่จุดตานเถียน[1] พลางเช็ดโลหิตที่มุมปาก
นางเช็ดริมฝีปากพลางทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง แม้ตนจะเผอิญได้ไป๋หลี่ชูช่วยทะลวงทวารเป็นตาย จนกำลังภายในเพิ่มขึ้นหกสิบปี ทำให้สามารถสังหารเจี่ยงเฟยโจวที่พลังฝีมือกล้าแข็งได้ในสองกระบวนท่า ทว่ากำลังภายในที่จู่ๆ เพิ่มขึ้นหกสิบปีนี้ไหนเลยจะได้มาง่ายๆ โดยปราศจากพื้นฐาน การฝึกยุทธ์ก็มีหลักการเช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ในโลกหล้า ล้วนต้องค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ
ด้วยกำลังภายในของนางแต่เดิม แม้แต่เส้นลมปราณเริ่นและตู[2]ก็ยังไม่อาจทะลวงได้ด้วยซ้ำ บัดนี้จู่ๆ ก็ทะลวงทวารเป็นตายได้ทันทีทันใด ร่างกายจึงปรับตัวไม่ทัน จำต้องค่อยๆ ปรับลมปราณให้ดี
ยังดีที่ทุกอย่างคุ้มค่า
หลังจากควบคุมพลังปราณที่พลุ่งพล่านเรียบร้อยแล้ว นางจึงเข้าไปในหอไจซิงและขึ้นไปชั้นบน
ในห้องสองห้องที่นางเหมาไว้บนชั้นสองจุดไฟสว่างจ้าดังคาด แสดงว่าเรื่องราวสำเร็จเรียบร้อยแล้ว วั่งไฉกลับห้องของตนแล้วจึงส่งข่าวให้นาง ส่วนฟาต๋ารับหน้าที่เฝ้าโจวอวี่ไว้
นางหันกายเข้าห้องของตน แล้วก็เห็นร่างสูงโปร่งยืนหันหลังให้ที่ข้างหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ ชุดขาวบนกายพลิ้วตามลมอย่างงดงาม ผมยาวดำขลับดั่งแพรพรรณสยายเต็มแผ่นหลังของเขา
ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องในวันนี้สำเร็จอย่างราบรื่นหรืออย่างไร นางจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มองไปยังหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างที่สวมชุดสีขาวขององครักษ์ค่งเฮ่อเจี้ยนและกวนสีดำขลิบทอง ทำให้นางรู้สึกถึงกลิ่นอายอันสูงส่งสง่างามที่แปลกประหลาดบางอย่าง
ชิวเยี่ยไป๋ก้าวเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตบไหล่เขากล่าวว่า “วั่งไฉ นึกไม่ถึงว่าเจ้าสวมชุดนี้แล้วจะเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่ไม่น้อย…คิดดูแล้ว…”
คำพูดที่เหลือพลันถูกกลืนลงคออย่างฝืดเฝือนทันทีที่อีกฝ่ายหันหน้ามา
นางเบิกตากว้างอย่างตะลึงลาน “ท่าน!”
แสงจันทร์เย็นเยียบทาบทอบนขนตายาวสีดำของคนผู้นั้น ขนตาของคนผู้นั้นยังเจือประกายสีน้ำเงินเข้มงดงามด้วย
ลูกตาดำกินพื้นที่สองในสามส่วนของดวงตางามที่ดูไร้ชีวิต ราวกับห้วงอนธการไร้ที่สิ้นสุด ชวนให้รู้สึกหนาวสะท้าน
แต่ยามนี้หางตาเขาพลันกระตุกวูบหนึ่ง ฉายแววยิ้มเย็นน่าพิศวง ปลายนิ้วเย็นเยียบไล้สัมผัสบนใบหน้านางอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวไป๋ ดีใจที่พบข้าหรือ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีจิตเสน่หาต่อข้าถึงเพียงนี้”
ยามที่เขาชายตามองมาเช่นนี้ ให้ความรู้สึกราวกับถูกสัตว์ประหลาดที่ไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์กำลังจับจ้อง
ปู่เจ้านะสิ!
ตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้าดีใจ ขวัญผวาสิไม่ว่า!
ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขาลูบไล้จนขนลุกซู่ พูดไม่ออก สมองพร่าเลือน แข็งใจฝืนยิ้มทักทาย
“ฝ่าบาทชู วันนี้อากาศดีนะ ท่านกินข้าวหรือยัง?”
เพิ่งพูดจบ ดวงตางามเช่นสัตว์ป่าก็ฉายแววหม่นมัวพิกล นางรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
“เสี่ยวไป๋ เป็นห่วงข้าหรือ หืม?” ไป๋หลี่ชูหลุบดวงตาที่เย้ายวนอย่างประหลาดลงเล็กน้อย โน้มเข้ามาหาชิวเยี่ยไป๋ ปลายนิ้วเรียวยาวเย็นเยียบค่อยๆ ไล้จากแก้มของนางไปยังริมฝีปากอิ่มชุ่มชื้น แล้วลูบเบาๆ
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ชอบให้ใครถึงเนื้อถึงตัวลูบคลำตน ต่อให้นางมิใช่เด็กผู้หญิงก็ไม่ชอบเช่นกัน นางจะตอบแทนคนที่ลวนลามนางอย่างอย่างสาสม โจวอวี่คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่เป็นข้อยกเว้น ดังเช่นในยามนี้ วาจาและท่าทางของบุรุษตรงหน้าดูอ่อนโยนอย่างที่สุด ทว่านี่เป็นความอ่อนโยนที่ถูกบังคับให้รับไว้อย่างจำใจ เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนมาก นางเป็นคนอดทน ยามเผชิญคู่ปรับที่แข็งแกร่งกว่าและนางยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะตอบโต้ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่เกินเลยนัก นางก็ไม่คิดจะราวีด้วย โดยเฉพาะเขาผู้นี้ยังมีค่าให้ใช้ประโยชน์
นางถอยหลังก้าวหนึ่ง จึงเบี่ยงใบหน้าหนีได้อย่างไร้พิรุธ ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แม้ฝ่าบาทจะไม่ขาดคนที่คอยห่วงใย แต่ในฐานะสหาย ห่วงใยกันบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก”
“สหาย?” ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้วงามเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่าคำนี้น่าสนใจ เขาก้าวเท้าตามชิวเยี่ยไป๋ ค่อยๆ เข้าใกล้นางช้าๆ
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาก้าวเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน ทั้งทำราวกับไม่นำพาระยะห่างระหว่างเขากับนาง ทว่าทุกก้าวของเขาดูเหมือนจะต้อนนางเข้าสู่มุมห้องโดยบังเอิญ
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนผู้ล่ากำลังต้อนเหยื่อให้จนมุม
ดวงตานางฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง ทว่ามิได้แข็งขืน เพียงหยุดเท้าไว้ไม่ถอยอีก จนกระทั่งคนผู้นั้นเข้ามาใกล้จนเหลือระยะห่างเพียงไม่ถึงหนึ่งนิ้วมือ
“ข้าไม่เคยมีสหาย”
ไป๋หลี่ชูยืนอยู่เบื้องหน้าชิวเยี่ยไป๋ ระยะห่างที่ใกล้กันมากทำให้เขาก้มหน้าลงเห็นจมูกโด่งและขนตางอนงามที่หลุบลงของนาง ลมหายใจของเขารินรดบนผิวขาวผ่องของนาง
“คนเราควรต้องมีสหาย ข้าน้อยยินดีเป็นสหายของฝ่าบาท” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเรียบ สายตาจับอยู่ที่กระดุมเงื่อนลายเมฆางามประณีตบนอกเสื้อเขา
อยู่ใกล้กันเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันผู้คนที่แผ่มาจากเรือนกายสูงโปร่งของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกคนใต้หล้าจึงหลงเข้าใจผิดไปได้ว่าไป๋หลี่ชูเป็นสตรี เป็นเพราะรูปโฉมงามล้ำพราวเสน่ห์ยิ่งกว่าสตรีที่ทำเอาทุกคนหลงใหล หรือเพราะเรือนร่างของเขาที่ดูอ่อนช้อยบอบบางกว่าบุรุษทั่วไปกันนะ
แต่ชิวเยี่ยไป๋เป็นคนฝึกยุทธ์ นางรู้ดีว่าความอ่อนช้อยนี้มิใช่เพียงงามน่ามองเท่านั้น หากยังเป็นโครงร่างที่เอื้อต่อการฝึกยุทธ์อย่างยิ่งด้วย อาจารย์เคยบอกว่านี่เป็นลักษณะที่ยากจะพบสักหนึ่งในคนนับหมื่นแสน เพราะลักษณะเช่นนี้ แม้ไม่ใช้กำลังภายในในการจู่โจม อานุภาพก็ยังรุนแรงกว่าคนธรรมดาถึงสามส่วน
ช่าง…ช่างน่าอิจฉานัก!
นางลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
เห็นหางตานางกระตุกเล็กน้อย ริมฝีปากของไป๋หลี่ชูก็โค้งเป็นรอยยิ้มงามเยือกเย็น ก้าวเข้าไปอีกก้าว มือข้างหนึ่งยันผนังห้อง อีกมือลูบไล้ริมฝีปากของชิวเยี่ยไป๋อีกครั้ง ชิวเยี่ยไป๋ถูกกักอยู่ระหว่างตัวเขากับผนัง แนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย
——
[1] จุดศูนย์กลางพลังงานภายในร่างกาย แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ตานเถียนบนบริเวณหว่างคิ้ว ตานเถียนกลางบริเวณทรวงอก และตันเถียนล่างบริเวณใต้สะดือลงไปสามนิ้วมือ
[2] สองเส้นลมปราณสำคัญของแปดเส้นลมปราณวิสามัญ (หรือเส้นลมปราณพิเศษ) ซึ่งต่างจากเส้นลมปราณสามัญ (เส้นลมปราณหลัก) กล่าวคือ เป็นเส้นลมปราณที่ไม่ได้สังกัดอยู่กับอวัยวะภายใน มีวิถีการไหลเวียนและหน้าที่เฉพาะแตกต่างกัน