เห็นได้ชัดว่าวาจาข่มขู่ของนางมิสู้มือที่เคลื่อนไหวสัมผัสกายไป๋หลี่ชู แม้สีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปกับการเคลื่อนไหวปลายนิ้วของนาง ทว่ากลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่ออกจากร่างยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที
กระทั่งเสื้อขาวขององครักษ์ค่งเฮ่อเจี้ยนถูกเปลื้องออก ผิวขาวผ่องเจิดจ้าดุจหิมะก็เผยให้เห็นใต้แสงจันทร์ สัมผัสเนียนเรียบราวกับภูเขาหิมะบนทุ่งหญ้าที่แข็งแกร่ง เห็นแนวกล้ามเนื้อประณีตชัดเจน
แม้แต่ชิวเยี่ยไป๋ที่เห็นคนงามในหอไผ่เขียวของตนจนชินตายังถึงกับถอนหายใจ ยิ่งไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนใต้หล้าจึงคิดว่าเขาเป็นสตรี
กลิ่นอายอึมครึมเหนือศีรษะยิ่งกดดันมากขึ้น นางลังเลเล็กน้อย แล้วฝ่ามือก็ตะปบลงบนท้องน้อยที่เห็นแนวกล้ามเนื้องดงามชัดเจน พลางกดลงเบาๆ พลันรู้สึกว่าร่างของเขาเกร็งเขม็ง
“เรือนร่างของฝ่าบาทงดงามกว่าพวกชายบำเรอข้างนอกยิ่งนัก หากได้ลองลิ้มจะต้องเคลิบเคลิ้มซาบซ่านไปถึงวิญญาณเป็นแน่” มือของนางไล้ขึ้นไปตามแผ่นอกของเขาทีละน้อย และไม่มองเขาอีก เพียงค่อยๆ สัมผัสอาการสั่นระริกของกล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือ นี่เป็นความโกรธเกรี้ยวที่ถูกหยามเหยียด ระคนด้วยกลิ่นอายบุรุษเพศ ทำให้แม้แต่มือของนางก็สั่นไปด้วย
นางหลุบตาลง แค่นหัวเราะเย็น ในเมื่อนางเปิดหอไผ่เขียว ทั้งยังกล้ารับพวกทาสของทางการที่มาจากตระกูลขุนนาง จนทำให้หอไผ่เขียวเป็นซ่องอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ย่อมได้เรียนรู้กลเม็ดทุกรูปแบบมาจากสถานเริงรมย์ทั้งหลายในยุทธภพเป็นธรรมดา
แน่นอนว่านางไม่ได้ทับเขาจริง แต่เรื่องสร้างความอัปยศให้คนอื่น นางย่อมรู้จักควบคุมหนักเบาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย หากเกร็งมากไป เดี๋ยวฝ่าบาทจะเจ็บปวดมาก” ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตาขึ้นล้อเลียน หวังจะได้เห็นไป๋หลี่ชูโกรธเกรี้ยวเพราะถูกหยาม คาดไม่ถึงว่าจะไม่ทันระวังจมลงสู่ความดำมืดราวกับเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง
จากนั้นดูเหมือนดวงตาของไป๋หลี่ชูจะฉายแววยิ้มชอบกล ไฝแดงเม็ดเล็กใต้ดวงตายิ่งเหมือนหยดโลหิตที่กลิ้งลงมา ชั่วขณะนั้นคล้ายความมืดมนอนธการและความหนาวเหน็บทั้งปวงจะล่าถอยไป เหลือเพียงดวงตาแดงก่ำเปี่ยมอารมณ์ปรารถนา ลมหายใจอุ่นชื้นรุ่มร้อนด้วยดำฤษณาสะกดวิญญาณคน
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกหัวใจชาวาบ สะท้านสันหลังจนต้องหอบหายใจอย่างสุดกลั้น
ทว่าเพียงชั่วขณะนางก็รีบหลับตาและกัดปลายลิ้นทันที โลหิตค่อยๆ ไหลซึม พลันยื่นมือไปหยิบเสื้อคลุมของไป๋หลี่ชูมาปิดดวงตาเขาไว้ การสะกดวิญญาณให้ลุ่มหลงจึงหยุดลง
นางออกแรงพลิกไป๋หลี่ชูคว่ำลง ให้เขาหันหลังให้นาง จากนั้นก็พลิกกายขึ้นข้างบนใช้เข่าข้างหนึ่งกดหลังเขาไว้ ดึงเสื้อคลุมของเขามาข้างหลัง โน้มตัวเข้าไปใกล้ พลางยิ้มหยันกล่าวว่า “ดวงตาของฝ่าบาทร้ายกาจถึงเพียงนี้ บนกายยังมีกลิ่นหอมสะกดผู้คน ตอนอยู่ในอุโมงค์ข้าทรมานมามากแล้ว คิดอยู่เสมอว่าจะให้ท่านใช้ฝีมือให้เต็มที่ แล้วก็จะทำให้ท่านได้รู้ว่าความปรารถนาของท่านใช่ว่าจะสมดังใจเสียทุกครั้ง”
นางอยากให้เขาได้ลิ้มรสชาติของความอับอาย ที่ใช้ลูกไม้เดิมๆ แล้วถูกคนอื่นรู้ทัน
ไป๋หลี่ชูไม่ส่งเสียง ทว่าหัวไหล่ที่แข็งเกร็งบอกให้รู้ว่าโทสะกำลังลุกโหมถึงขีดสุด
ชิวเยี่ยไป๋คลายจุดใบ้ให้เขา ไป๋หลี่ชูไอต่ำๆ สองสามครั้ง น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบวังเวง ปราศจากโทสะแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินหนาวสะท้าน “เสี่ยวไป๋ เจ้าเก่งกาจนัก และกล้ามาก”
นางชักโมโหที่เขายังมีท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ ทำให้ไม่อาจคาดเดาใดๆ ได้เลย จึงยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมิต้องรีบร้อน อีกประเดี๋ยวจะให้ท่านได้เห็นความเก่งกาจของข้า รับรองว่าท่านจะต้องตื่นเต้นจนร้องขอความตายเลยทีเดียว ขอเพียงฝ่าบาทอย่าร้องดังไปก็แล้วกัน เกิดใต้เท้าอีไป๋หรือพวกวั่งไฉได้ยินเข้าจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วบุกเข้ามาเห็นท่าทียวนเสน่ห์ของท่านเข้า”
นี่ก็เป็นการข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง
ถ้าเจ้ากล้าร้องให้คนช่วย มารดาจะให้พวกลูกน้องเจ้าบุกเข้ามาเห็น ‘องค์หญิง’ ผู้ลึกลับสูงส่งไร้ผู้ใดกล้าล่วงเกินกำลังสยบอยู่ใต้ร่างบุรุษคนหนึ่งในท่าชวนกระสัน
ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่ชูเครียดขึงเย็นเยียบดังคาด ทำเอาชิวเยี่ยไป๋ที่จ้องมองเขาตลอดเวลาชักสนุก เหอะๆ ไอ้โรคจิตฆ่าไม่ตาย แสร้งทำเป็นสูงส่งต่อไปเถิด ข้าจะทรมานเสียให้เข็ด!
เดิมนางเพียงตั้งใจจะขู่ให้เขารู้สึกอัปยศ มีปากก็ไม่กล้าร้อง!
ทว่าไป๋หลี่ชูเป็นคนลึกล้ำมากเล่ห์ มีหรือจะไม่รู้ลูกไม้สกปรกของนาง แววตาหม่นมัวราวกับมีหมอกดำปกคลุม
ชิวเยี่ยไป๋หัวเราะเบาๆ ลากปลายนิ้วช้าๆ ไปตามแผ่นหลังขาวผ่องทรงเสน่ห์ นวดคลึงบีบเคล้นเบาๆ อันที่จริงล้วนเป็นวิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทว่ากลับทำให้ร่างที่นอนคว่ำใต้ฝ่ามือนางแข็งเกร็ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโทสะหรือความกระสัน จึงได้ยินเพียงเสียงหอบหนัก ตามด้วยเสียงที่เค้นออกจากริมฝีปากบางทีละคำว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าอยากตายหรือ!”
นางเห็นว่าในที่สุดเขาก็เยือกเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงโน้มกายลงกระซิบข้างหูที่เหมือนหยกขาวของเขา “ฝ่าบาทมีเรือนร่างงดงามชวนตะลึงยิ่งนัก ทางที่ดีท่านผ่อนคลายลงสักหน่อยเถิด ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวเจ็บขึ้นมาจะหาว่าข้าไม่รักหยกถนอมบุปผาไม่ได้นะ ท่านรู้หรือไม่ว่าบุรุษยามแบ่งลูกท้อเจ็บกว่าสตรียามทำเรื่องอย่างว่าเสียอีก”
นางหยุดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “อ้อ จริงสิข้าจะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับว่าฝ่าบาทอยากตายหรือไม่ ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือ”
การได้ระบายโทสะที่อัดอั้นทั้งหมดใส่ไป๋หลี่ชู ทำให้นางรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ มือไม้ยิ่งไร้ปรานี พุ่งไปคว้าสายรัดกางเกงของไป๋หลี่ชูทันที
ชั่วขณะนั้นดูเหมือนเขาจะรับรู้ถึงเจตนาของชิวเยี่ยไป๋ ร่างที่เดิมแข็งเกร็งอยู่แล้วพลันแข็งเกร็งถึงขีดสุด
นางลังเลเล็กน้อย กลอกตาแล้วก็ไม่ได้กระตุกสายรัดกางเกงเขาอีก หากแต่ยื่นมือลงไปคลำสำรวจ โดยกดที่ระหว่างเอวกับสะโพก ไป๋หลี่ชูไม่ได้พูดอะไร ได้แต่หอบหายใจต่ำๆ เดิมความร้อนในร่างกายเขาก็ต่ำกว่าคนธรรมดามากอยู่แล้ว กลิ่นอายหม่นมัวเย็นเยียบยิ่งราวกับกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เย็นจนมือของนางสัมผัสได้
นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ปฏิกิริยาของเขารุนแรงเกินไป หากเกิดอะไรขึ้นคงไม่ดีแน่ ถึงอย่างไรร่างกายของไป๋หลี่ชูก็เกี่ยวพันกับตนอยู่
ชิวเยี่ยไป๋คิดดูแล้วแล้วจึงพลิกร่างของไป๋หลี่ชูกลับมา
เขานอนนิ่งอยู่ใต้ร่างนาง กวนครอบผมหลุดออกไปนานแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยสยายรอบกรอบใบหน้า เส้นผมดำขลับยิ่งขับเน้นผิวกายขาวผ่องราวหิมะ ดวงตางามดำสนิทเย็นยะเยือกยังคงเหมือนห้วงอนธการอันไร้ขอบเขต มีเพียงหางตาที่แดงเรื่อเล็กน้อย หากมิใช่เพราะหางตาที่เขม็งเกร็งของเขาแผ่จิตสังหารเข้มข้น สีแดงเรื่อที่หางตาและท่าทีเช่นนี้ก็นับว่าเร้าอารมณ์เป็นที่สุด
คราวนี้ไป๋หลี่ชูมิได้ใช้วิชาร่ายเสน่ห์อีก เพียงมองนางอย่างเย็นชา กลับเป็นชิวเยี่ยไป๋ที่ถูกจ้องจนใจเต้นระทึก ราวกับตนไปล่วงเกินอะไรเข้า
สุดท้ายก็สลัดความรู้สึกผิดนี้ออกไปอย่างแรง จะต้องไปรู้สึกผิดหาผีสางอะไร!
“ทำไม ไม่ทำต่อแล้วหรือ” เสียงทุ้มเย็นชวนวังเวงของไป๋หลี่ชูดังขึ้น
ชิวเยี่ยไป๋สะดุ้ง พลันก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูยิ้มๆ ว่า “ขืนทำต่อ เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่สนความเป็นความตายของตนลงมือสังหารข้า เพียงแต่สิ่งใดที่ตนไม่ต้องการ ก็อย่ากระทำต่อผู้อื่น ฝ่าบาทจงจำไว้”
จากนั้นนางก็เบี่ยงหน้ากัดหัวไหล่ของไป๋หลี่ชูอย่างแรงทีหนึ่ง รู้สึกถึงอาการหดเกร็งของผิวกายที่เย็นเยียบใต้ร่าง นางคลายปากแล้วลุกขึ้น กระชากผ้าห่มผืนบางโยนใส่ร่างของไป๋หลี่ชู
นางยืนขึ้นจัดแจงกับเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย เอ่ยเสียงเนิบทั้งที่หันหลังให้ว่า “จุดที่ฝ่าบาทถูกสะกดไว้จะคลายเองในครึ่งชั่วยาม”
พูดจบนางก็เดินออกจากห้องโดยไม่เหลียวมอง แต่ยังคงหับประตูไว้อย่างรอบคอบ
ไป๋หลี่ชูถูกนางจัดการจนสภาพเป็นเช่นนี้ หากให้ใครมาเห็นเข้า เกรงว่าผลที่ตามมาจะลุกลามใหญ่โตจนเกินขอบเขตแผนการของนาง
นางเพิ่งโผล่ออกมาจากห้อง ก็เห็นวั่งไฉกำลังยื่นหน้าออกมามองรอบๆ ทันทีที่เห็นนาง ใบหน้าหล่อเหลาน่ารักก็เปลี่ยนไป แต่แล้วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแล้วนึกขำ จึงเดินตรงเข้าไปหา
วั่งไฉเห็นสายตาเหมือนรู้ทันทุกอย่าง แต่ไม่เห็นฝ่าบาทของตนออกมาด้วยก็ลอบวิตก ทว่ายังคงเดินขึ้นหน้ามาทำคารวะ “นายน้อยสี่ ทุกอย่างจัดการตามที่ท่านสั่งแล้ว บัดนี้โจวอวี่กำลังรออยู่ในห้อง”
ชิวเยี่ยไป๋มองเขาด้วยสายตาลึกล้ำ เอ่ยว่า “อืม วั่งไฉ เจ้าภักดีต่อนายของเจ้าจริงนะ”
วั่งไฉใจเต้นรัวเป็นตีกลอง แต่ยังคงกล่าวว่า “วั่งไฉเป็นคนของนายน้อยสี่ ย่อมต้องทำตามคำสั่งเจ้านายให้ลุล่วง”
ชิวเยี่ยไป๋ลากเสียงยาว “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นคนที่ข้านายน้อยเห็นในห้องเมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับเจ้าสินะ เจ้าจะเข้าไปดูสักหน่อยหรือไม่”