วั่งไฉตกใจ เห็นชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ไม่สนใจอะไรอีก รีบพุ่งไปยังห้องที่ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งออกมาทันที เพราะเกรงว่าฝ่าบาทของตนจะเป็นอันตราย เพียงแง้มประตูก็เห็นเสื้อคลุมกองอยู่บนพื้น เขาหน้าซีดทันใด รีบปิดประตูตามสัญชาตญาณ จากนั้นหันกายสาวเท้าเข้ามาหาชิวเยี่ยไป๋
เห็นวั่งไฉมายืนอยู่เบื้องหน้าตนอีกครั้งด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ นางจึงตบไหล่เขาเบาๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถิด ฝ่าบาทเซ่อกั๋วไม่เป็นอะไร ข้าไม่ได้แตะต้องเขา เพียงแค่สั่งสอนฝ่าบาทของเจ้าเล็กน้อย ให้เขารู้ว่านิสัยชอบทรมานผู้อื่นมันไม่ดี จากนิสัยของเขาแล้ว คงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเสียทีข้า แม้เขาแค้นจนอยากจับข้ากิน แต่ก็ไม่อาจวู่วามลงมือกับข้าได้ง่ายๆ ถูกลูบคมครั้งนี้แล้ว ข้าว่าในเวลาอันสั้นเขาคงไม่คิดมาตอแยข้าอีก อย่างเก่งก็แค่ระบายโทสะใส่คนข้างกายแทน”
วั่งไฉฟังนางวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เปิดเผย และตรงไปตรงมา ใบหน้ายิ่งเขียวคล้ำราวกับมะเขือที่ถูกน้ำค้างแข็งจับ เอ่ยปากคอสั่นว่า “นายน้อยสี่พูดเรื่องนี้กับข้า มีเจตนาใด”
ชิวเยี่ยไป๋โอบไหล่เขาอย่างเบิกบาน “เจตนาใดหรือ ย่อมต้องเป็นเจตนาร้ายนะสิ ฝีมือฝ่าบาทของเจ้า ข้าพอจะได้ยินได้ฟังมาบ้าง คิดว่าเมื่อครู่ที่เจ้าโผล่เข้าไปล่วงรู้ความลับระหว่างเขากับข้า วันหน้าเจ้ากับฟาต๋าคงไม่ได้ตาย แต่คงมีชีวิตชนิดที่อยู่มิสู้ตาย คิดเช่นนี้แล้วข้าก็แสนจะเบิกบาน”
วาจาชั่วร้ายเช่นนี้ออกจากปากชิวเยี่ยไป๋ราวกับเป็นข่าวใหญ่ที่น่ายินดี ทำให้คนได้ยินแล้วนึกขำ ทว่าสุดท้ายกลับต้องร่ำไห้
วั่งไฉหน้าซีดเหมือนคนตาย มองชิวเยี่ยไป๋แวบหนึ่ง แล้วหันกายเข้าไปอีกห้องโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชิวเยี่ยไป๋ไม่ถือสาที่เขาเสียมารยาท ยืนรอเงียบๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ครู่เดียวประตูก็เปิดออกอีกครั้ง วั่งไฉกับฟาต๋าเดินตามกันออกมา ทั้งสองสีหน้าไม่สู้ดีและพากันคุกเข่ากระแทกพื้นเบื้องหน้าชิวเยี่ยไป๋
“นายน้อยสี่โปรดอภัยด้วยเถิด ข้าน้อยทั้งสองผิดไปแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ก้มหน้า เก็บรอยยิ้มนุ่มนวล เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “นายของพวกเจ้ามิใช่ข้า พวกเจ้าเองก็ไม่ได้ผิดต่อข้า”
วั่งไฉกัดฟันกรอด เอ่ยอย่างนบนอบว่า “พวกเรารู้ว่าไม่ควรกินบนเรือนขี้รดหลังคา ทำให้นายน้อยสี่ตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น”
ชิวเยี่ยไป๋มองพวกเขาอย่างนิ่งขรึม ไม่เอ่ยสิ่งใด เห็นพวกเขามีเหงื่อแตกพลั่ก จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเจ้ามิใช่กินบนเรือนขี้รดหลังคาหรอก ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นคนของค่งเฮ่อเจี้ยน นายของพวกเจ้าคือฝ่าบาทเซ่อกั๋ว เพียงแต่ข้าไม่อาจยอมให้มีตะปูอยู่ข้างกาย และข้าไม่มีวันเอาความปลอดภัยของตนเองไปฝากไว้ในมือผู้อื่น เช่นเดียวกับวันนี้แหละ”
ได้ยินชิวเยี่ยไป๋พูดเช่นนี้ วั่งไฉกับฟาต๋าก็หน้าซีดเผือด ใบหน้าที่เดิมสดใสน่ารักพลันเปลี่ยนเป็นสิ้นหวังจนไม่อาจทนมองได้
แต่ชิวเยี่ยไป๋เป็นคนเช่นใด ย่อมไม่มีทางใจอ่อนเพราะเรื่องเท่านี้ นางกำลังรอ
วั่งไฉกับฟาต๋าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วโขกศีรษะให้ชิวเยี่ยไป๋อย่างนบนอบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบว่า “พวกเราเกรงว่าคงไม่มีโอกาสรับใช้นายน้อยสี่อีกแล้ว ขอบคุณนายน้อยที่ดูแลด้วยดีเสมอมา”
การกระทำของชิวเยี่ยไป๋ทำให้พวกเขารับรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ไม่ต้องพูดถึงฝ่าบาท แม้แต่ใต้เท้าอีไป๋ก็คงสงสัยว่าพวกเขาสมคบคิดกับนายน้อยสี่ การลงมือของค่งเฮ่อเจี้ยนเป็นเช่นไร พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุด
พวกเขาหลับตาลง กำลังจะกัดถุงพิษในปากปลิดชีพตนเอง พลันรู้สึกมีลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่าน ขากรรไกรของพวกเขาถูกตรึงไว้จนงับไม่ได้
วั่งไฉกับฟาต๋าเบิ่งตามองชิวเยี่ยไป๋อย่างตะลึงลาน เป็นนางที่ตาไวมือไวตรึงคางของพวกตนไว้
“อา! คนของค่งเฮ่อเจี้ยนช่างใจเด็ดตรงไปตรงมาจริง แม้ข้าจะบอกว่าไม่ยอมให้มีตะปูข้างกาย แต่ก็มิได้หมายความว่าพวกเจ้าต้องตาย” ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจ นางคาดเดาอยู่แล้วว่าสองคนนี้เป็นคนใจแข็งเด็ดเดี่ยว ที่นางรออยู่ก็คือช่วงเวลานี้
“หากนายน้อยสี่คิดจะให้เราทรยศเจ้านาย ย่อมไม่มีวันเป็นอันขาด!” แววตาที่วั่งไฉมองชิวเยี่ยไป๋เย็นเยียบขึ้น ส่วนฟาต๋าไม่พูดอะไร ทว่าสีหน้าไม่ต่างกัน
ชิวเยี่ยไป๋หัวเราะ “เจ้าสองคนซื่อสัตย์ภักดีเสียจริง แต่ข้ามิได้คิดจะให้พวกเจ้าทรยศเจ้านายเสียหน่อย”
ไป๋หลี่ชูเป็นคนลึกซึ้งยากคาดเดา หากองครักษ์คนสนิทของเขาถูกข่มขู่และเนรคุณเขาได้ง่ายๆ คนที่เก็บความลับยิ่งใหญ่ติดตัวไว้เช่นเขาคงตายไปนับพันครั้งแล้ว
วั่งไฉกับฟาต๋ามองหน้ากัน หากไม่ต้องตายและไม่ต้องทรยศต่อนาย พวกเขาย่อมยินดี ฟาต๋ามองชิวเยี่ยไป๋อย่างวิตกเล็กน้อย “นายน้อยสี่หมายความว่า…”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างนุ่มนวล กล่าวเบาๆ ว่า “ง่ายมาก พวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าเองก็อยากอยู่อย่างสุขสบาย เรื่องในวันนี้หากเราผิดแผนไปแม้เพียงน้อย ข้ามีหวังไม่ได้กลับมาแล้ว จู่ๆ นายของพวกเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาทำให้ข้ายุ่งยาก ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทรยศต่อนาย เพียงแต่ภายหน้าหากนายของพวกเจ้าจะมาหาข้า พวกเจ้าบอกสักหน่อยก็พอ อย่างไรเสียนายของพวกเจ้าก็ยังต้องใช้สอยข้า ข้าย่อมต้องเจียมตัว ไม่มีทางเป็นอริกับฝ่าบาทเซ่อกั๋วของพวกเจ้าแน่”
นางพูดอย่างยอมลงให้ถึงที่สุด ทั้งยังทำสะทกสะท้อนใจ ยื่นข้อเสนออย่างลดท่าที ทำให้วั่งไฉกับฟาต๋าเริ่มลังเล
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการตีหน้าเศร้าและท่าทีจริงจังที่แสดงออกดูสมจริงเกินไป หรือเป็นความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดในก้นบึ้งของจิตใจ สุดท้ายจึงทำให้สองคนนั้นผงกศีรษะยอมรับแต่โดยดี
ทางด้านชิวเยี่ยไป๋หลังจากจัดการกับวั่งไฉและฟาต๋าจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็หันกายเข้าไปในอีกห้องหนึ่งเพื่อสะสางเรื่องโจวอวี่ ส่วนในอีกห้อง คนที่เดิมนอนแผ่บนเตียงไม่ขยับก็ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ค่อยๆ หยิบเสื้อมาคลุมร่างอย่างลวกๆ งอปลายนิ้วเข้ามา ก็ปรากฏดวงไฟลักษณะเหมือนเปลวเพลิงสีเขียวจางๆ บนฝ่ามือ
แสงสีเขียวอ่อนนั้นแยกตัวออกเหมือนจุดเรืองแสงหลายจุด แล้วค่อยๆ ลอยออกไปนอกหน้าต่าง
ราวไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มีคนผู้หนึ่งกระโดดเข้ามาจากนอกหน้าต่างอย่างปราดเปรียว คนผู้นั้นเหลียวมองรอบๆ แล้วสายตาก็หยุดลงบนร่าง ‘คนงามที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน’
ไฟปีศาจนั้นก็ลอยเข้าไปในม่านเตียง ส่องใบหน้างามล้ำที่ซีดขาวจนปราศจากกลิ่นอายชีวิต ดวงตางามที่เดิมเย็นเยียบอึมครึมคู่นั้นฉายประกายที่มิใช่แววตาของมนุษย์
แม้แต่อีไป๋ที่เห็นจนชินแล้วก็ยังอดสะท้านไม่ได้ ครั้นเห็นเจ้านายตนเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยก็หน้าเปลี่ยนสี ขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ พลันพุ่งเข้าไปที่ข้างเตียงไป๋หลี่ชู คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใบหน้าที่เหมือนสตรีบิดเบี้ยว เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป ผู้ใดล่วงเกินฝ่าบาทใช่หรือไม่!”
ไป๋หลี่ชูกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พลันทำสีหน้าคล้ายจะยิ้มก็ไม่เชิง กล่าวว่า “อีไป๋ เจ้าเคยลองผ่าท้อตัดแขนเสื้อหรือไม่”
วันนี้ตอนที่เขาถูกชิวเยี่ยไป๋จับพลิกตัวและกัดที่หัวไหล่อย่างแรง ทำให้การควบคุมฤทธิ์ยาบนร่างสลายไป ทุกอย่างล้วนได้ประโยชน์จากโลหิตในร่างที่เย็นเหมือนศพของเขา ซึ่งแม้จะเย็นเยียบจับขั้ว แต่ก็สามารถสกัดหรือยับยั้งระยะเวลากำเริบของพิษทุกชนิดยกเว้นพิษเหมันต์ในร่าง