อีไป๋เบิกตากว้าง เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยคิดว่ายังคงต้องเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงจึงจะถูกทำนองคลองธรรม”
เขาว้าวุ่นใจยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดรู้ แต่เขาซึ่งติดตามรับใช้ไป๋หลี่ชูตั้งแต่วัยเยาว์ ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ย่อมรู้ดีว่าแม้ไป๋หลี่ชูจะถูกบังคับให้แต่งกายเป็นสตรีตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าความเป็นบุรุษเพศในตัวแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร เด็ดขาดอำมหิต ลึกซึ้งเลือดเย็น ฝีมือล้ำเลิศ ไม่เช่นนั้นขณะที่จักรพรรดิอ่อนแอและพระพันปีกุมอำนาจเช่นนี้ คงไม่มีชีวิตรอดจนถึงบัดนี้ ทั้งยังได้อำนาจในการเกษียนหนังสือราชการมาไว้ในมือด้วย ฝ่าบาทผู้นี้ย่อมเป็นผู้ทำการใหญ่ได้
ดังนั้นเขาจึงหวังอย่างยิ่งว่า หลังจากที่ต้องละทิ้งอะไรไปมากมาย จะมีสักวันที่เจ้านายของเขาจะได้แต่งงานกับสตรีเช่นบุรุษทั่วไปได้
แววตาเยียบเย็นของไป๋หลี่ชูทอประกายจางๆ เอ่ยคล้ายไม่ตั้งใจว่า “สำหรับข้าแล้ว สิ่งใดที่ทำให้ข้ามีความสุขได้ ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากข้าต้องการ ก็ย่อมต้องได้มา หากไม่ได้ก็…”
เขาหยุดไป ไม่พูดต่ออีก เพียงไล้ปลายนิ้วช้าๆ ตามรอยกัดที่ชิวเยี่ยไป๋ฝากไว้บนหัวไหล่ พลางยิ้มอย่างอบอุ่น
“โลกนี้ยังไม่เคยมีคนเช่นนี้”
อีไป๋เห็นเจ้านายตนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายอึมครึมทั่วร่างก็อดตัวสั่นมิได้ สายตาเผอิญเหลือบไปเห็นรอยแผลที่หัวไหล่ของไป๋หลี่ชู ในใจกระตุกวูบ
เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทได้ข่าวลับจากอวิ๋นฉี่ จึงนึกสนุกเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วมาจับตามองนายน้อยสี่สกุลชิว ที่แท้ก็…
เห็นสภาพของฝ่าบาทเช่นนี้แล้ว ต้องเป็นเจ้าชิวเยี่ยไป๋แน่ที่กล้าล่วงเกินนายเขา
อีไป๋พลันถลึงตา แววตาสาดประกายโกรธแค้น กัดฟันเอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิวเยี่ยไป๋ ไอ้เดรัจฉาน!”
ไป๋หลี่ชูได้ยิน พลันแลบลิ้นเลียมุมปาก คลึงทับทิมเม็ดงามบนนิ้วมือ
มิใช่เดรัจฉานหรอกหรือ เสี่ยวไป๋มิใช่เสือดาวน้อยเจ้าเล่ห์ที่แยกเขี้ยวกางเล็บหรอกหรือ
ทว่าเขาเป็นคนที่มีความอดทนและสนุกกับการล่าเหยื่อที่สวยงามและเก่งกล้าเช่นนี้ รอคอยจังหวะที่จะต้อนเจ้าเสือดาวน้อยให้จนมุม ใบหน้าตื่นตระหนกอับจนของเสือดาวน้อย รวมทั้งการดิ้นรนต้องน่าเย้ายวนใจเป็นแน่
อีไป๋ดูท่าทีของไป๋หลี่ ในใจเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แอบคิดว่าต่อให้ต้องถูกกดอยู่ใต้ร่าง คนคนนั้นก็ควรเป็นชิวเยี่ยไป๋ เป็นไปได้อย่างไรที่ฝ่าบาทเป็นฝ่ายถูกกด มีโอกาสเมื่อใดเขาจะต้องสั่งสอนชิวเยี่ยไป๋ให้รู้ถึงฐานะการเป็นชายบำเรอ!
……
ไม่ว่าอย่างไร ชิวเยี่ยไป๋ก็รู้สึกว่าตนค่อนข้างโชคดี
แม้ทางด้านนี้จะเสียเวลาไปเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ได้จัดการเสี้ยนหนามหลักและคนที่ยังก้ำกึ่งในกองคั่นเฟิงของซือหลี่เจี้ยน นับว่านางรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของกองคั่นเฟิงไว้ในกำมือแล้ว อีกอย่าง ไม่ว่าไป๋หลี่ชูกับอีไป๋จะคิดอย่างไรก็ตาม หรือแม้ว่าตอนนั้นนางจะลงมือข่มขู่ชิวเยี่ยไป๋ อย่างน้อยในช่วงเวลานี้ เมื่อเห็นวั่งไฉกับฟาต๋าที่ประพฤติตัวปกติดี ก็พอจะรู้ว่าไอ้โรคจิตไป๋หลี่ชูจะไม่มารังควานนางอีก
เวลานี้นางยังมีเวลาหนึ่งเดือนที่จะเข้าควบคุมและปรับโครงสร้างอำนาจในกองคั่นเฟิง ด้วยความช่วยเหลือของซือถูหนิง เจี่ยงเฟยโจว และโจวอวี่ ทุกอย่างจึงนับว่าราบรื่น บรรดาองครักษ์ฉ่างเว่ยของกองคั่นเฟิงย่อมต้องยอมรับชิวเชียนจ่งคนใหม่
แน่นอนว่าเจี่ยงเฟยโจวในยามนี้ย่อมเป็นเป๋าเป่าที่แปลงโฉมและยืดกระดูกสวมรอยมา นางเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง หากจู่ๆ คนสนิทของพระพันปีมาตายไปย่อมเป็นที่สงสัยได้
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ได้กลับจวนสกุลชิวทุกวัน เพราะกำลังหาทางจัดระเบียบกองคั่นเฟิงที่วุ่นวายเละเทะให้เรียบร้อย อย่างน้อยทุกวันจะได้ไม่ต้องเดินๆ อยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีเสื้อบังทรง กางเกงชั้นใน หรือจอกสุราหล่นใส่หัว หรือมีใครคอยมาชวนนางไปเที่ยวผู้หญิงหรือชายบำเรออะไรทำนองนี้
แต่แล้วทางสกุลชิวก็เกิดเรื่องขึ้น! เมื่อชิวเยี่ยไป๋ได้รับจดหมายจากเฟิงซื่อ สีหน้าของนางเย็นเยียบทันที
หญิงโง่ชิวซั่นหนิงถึงกับปีนขึ้นเตียงองค์ชายสาม!
ชิวเยี่ยไป๋ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชีวิตนี้ของตนเสพสุขกับอิสระเสรีที่สตรีในหอห้องไม่เคยได้มีหรือเปล่า นางจึงไม่อาจทนความน่ารังเกียจที่สะบัดไม่หลุดเหมือนหางที่ตามติดตนไปทุกที่ได้
อย่างเช่นชิวซั่นหนิง
นางเขวี้ยงจดหมายฉบับนั้นอย่างอดกลั้นไม่อยู่ สีหน้าขรึมลง เอ่ยกับเสี่ยวเหยียนจื่อที่กำลังชงชาว่า “ไปตามซือถูอี้จ่างมา!”
นางต้องกลับบ้านสักครั้ง แม้เมื่อนึกถึงตู้เจินหลานขึ้นมาแล้วจะทำให้ปวดหัวอยู่บ้าง แต่หากจัดการเรื่องนี้ไม่เหมาะสม ก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกเท่าใด ไป๋หลี่ชูถือว่านางเป็นคนฝ่ายเขามานานแล้ว บัดนี้น้องสาวแท้ๆ ของนางกลับไต่เต้าหาเส้นสายกับคนที่ไม่ใช่ฝ่ายของเขา ดีไม่ดีอาจทำให้เขาแคลงในเจตนาของนางก็เป็นได้
ประกอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน แม้จะรู้ว่าในตัวเขากับนางมีหนอนกู่ร่วมชีพ เขาย่อมไม่มีวันฆ่านางแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่าไอ้จิตวิปริตนั่นจะเล่นงานนางอย่างไรอีก
ดังนั้นนางจึงต้องวางมือจากงานในกองคั่นเฟิงเป็นการชั่วคราว คิดถึงว่ารากฐานของตนทางนี้ยังไม่ทันมั่นคง ชิวซั่นหนิงก็ดันก่อเรื่องงี่เง่าที่เหมือนฉุดขาตนไว้อีก มันน่าโมโหจริงๆ!
เสี่ยวเหยียนจื่อได้ยินคำสั่งนางก็ลังเลอยู่นานก่อนกล่าวว่า “ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าควรพูดดีหรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋จึงเพิ่งรู้ตัวว่าขณะที่ตนกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นี้ เสี่ยวเหยียนจื่อยังไม่ได้ออกไป จึงพยักหน้า “ว่ามา”
หลังจากนางเข้ามาในกองคั่นเฟิงแล้ว เสี่ยวเหยียนจื่อก็หวังเป็นอย่างยิ่งให้นางย้ายเขามาเข้าสังกัดด้วย แม้ตำแหน่งนายทวารจะฟังดูดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนเฝ้าประตูอยู่นั่นเอง ทว่าหลังจากได้เข้ากองคั่นเฟิงแล้วกลับต่างออกไป เวลานี้ติดตามชิวเยี่ยไป๋ แม้จะเป็นขันทีขั้นเจ็ดที่คอยดูแลเรื่องสัพเพเหระอย่างหมึกกระดาษพู่กัน แต่ดีชั่วอย่างไรก็ยังมีลำดับขั้น ดังนั้นเขาจึงคอยประจบเอาใจนาง หรือพูดอีกอย่างก็คือจงรักภักดีต่อชิวเยี่ยไป๋
เสี่ยวเหยียนจื่อเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋ แล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าขอรับ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ท่านขลุกอยู่แต่ในกองคั่นเฟิงโดยไม่ได้ออกไปไหน และคนของเราที่นี่ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องภายนอก หรืออาจจะสนใจแต่คงไม่กล้ามารายงานท่าน แต่หากท่านจะกลับจวนสกุลชิว ข้าน้อยคิดว่าท่านควรเตรียมการไว้บ้าง…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “คุณหนูหกสกุลชิวมีความสัมพันธ์กับองค์ชายสาม บัดนี้เรื่องนี้รู้กันทั่วในหมู่ผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้ว ทั้งยังว่ากันว่าวันนั้นคุณหนูหกเป็นฝ่ายบุกเข้าไปในห้องพักขององค์ชายสามที่หอเจินซิวเอง ฉวยโอกาสที่นางบำเรอคนโปรดขององค์ชายไม่อยู่ และองค์ชายกำลังเมาสุรา…ทำ…ทำเรื่องบัดสีจนสำเร็จ…”
พูดจบเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง แต่รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายเย็นเยียบบนร่างชิวเยี่ยไป๋เข้มข้นขึ้นทุกที
ชิวเยี่ยไป๋ฟังจบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนเองโมโหจนเกินขีดสุดหรืออย่างไร กลับกลายเป็นอยากหัวเราะลั่นออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว น้องสาวของนางคนนี้โง่จนเกินเยียวยาแล้ว!
นางคลึงหว่างคิ้วเบาๆ กล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “พอแล้ว เจ้ารีบไปตามซือถูอี้จ่างมา!”
เสี่ยวเหยียนจื่อรีบผงกศีรษะ หันกายออกจากประตูไปอย่างร้อนรน
หลังจากซือถูหนิงฟังการจัดการของนางแล้ว กลับมิได้แปลกใจและรับปากว่าจะช่วยดูแลงานในกองคั่นเฟิงให้ ทั้งยังเอ่ยปลอบนางเล็กน้อยอย่างลังเล
ชิวเยี่ยไป๋รู้ว่าคนผู้นี้วางใจได้ เมื่อได้ใจเขาแล้ว เขาย่อมทำงานให้อย่างซื่อสัตย์ จึงเปลี่ยนชุดแต่งกายแล้วพาเสี่ยวเหยียนจื่อกลับไปยังจวนสกุลชิว