“เจ้าได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตในสกุลชิว ก็ควรรู้ว่าที่ข้าพูดนั้นถูกต้อง” ชิวเยี่ยไป๋มองชิวซั่นหนิงที่อยู่ในสภาพทุเรศทุรังเบื้องหน้าตน เนื้อตัวสั่นเทา นัยน์ตาก็สาดประกายเย้ยหยันวูบหนึ่ง
ชิวซั่นหนิงกัดริมฝีปาก สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว แต่ยังคงกัดฟันกล่าวว่า “ท่านพ่อ…ท่านพ่อจะปกป้องข้า!”
ใช่ นางเป็นลูกที่ท่านพ่อรักที่สุด แม้แต่ชิวซั่นหยวนที่เป็นลูกภรรยาเอกก็ยังสู้ไม่ได้ ดังนั้นท่านพ่อย่อมไม่มีวันปล่อยให้ฮูหยินใหญ่ลอบฆ่านางแน่
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววหยามเหยียด “เจ้าจะลองดูก็ได้ ว่าลูกอนุคนหนึ่งจะมีความสำคัญกว่าสกุลชิวหรือไม่”
สุดท้ายสีหน้าของชิวซั่นหนิงก็เปลี่ยนเป็นสีเทา ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างสุดระงับ
เป็นดังที่ชิวเยี่ยไป๋กล่าว นางเป็นบุตรอนุที่ได้รับความรักจากบิดามากที่สุดท่ามกลางธิดาทั้งหลาย ย่อมมิได้โง่เง่าจนไม่ประสา เรื่องเช่นนี้ต่อให้เป็นสตรีในหอห้องก็ยังรู้หนักรู้เบา
นางที่เป็นบุตรอนุ หาก ‘ป่วยตาย’ เงียบๆ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับทุกฝ่าย ต่อให้ท่านพ่อไม่อาจตัดใจเพียงใด ก็ทัดทานฮูหยินใหญ่มิได้
เพียงแต่นางคับข้องใจนัก หลังจากเกิดเรื่องก็ลนลานว้าวุ่นไปหมด พยายามทำตัวให้สงบนิ่ง ไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดของเรื่องนี้
“ทำเช่นไรดี…ข้า…ไม่รู้…ข้าต้องทำอย่างไร…ข้าไม่อยากตาย!” ถึงอย่างไรชิวซั่นหนิงก็เป็นดรุณีน้อยวัยปักปิ่น ยามนี้เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นความตาย ก็จนปัญญาคิดอะไรไม่ออก เลือดที่ไหลเต็มศีรษะยิ่งทำให้สารรูปนางดูย่ำแย่และพรั่นพรึงสุดขีด ในที่สุดก็ร่ำไห้ออกมาเหมือนทำนบพังทลาย
ชิวเยี่ยไป๋มองอย่างรำคาญ ยังคงจิบน้ำชาต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
แต่แล้วชิวซั่นหนิงก็ตระหนักถึงคนที่อยู่ข้างกายนาง นางกระชากแขนเสื้อชิวเยี่ยไป๋ สีหน้าไม่รู้ว่าจะกินเลือดกินเนื้อหรือหวาดกลัว ร้องเสียงแหลมว่า “พี่ชาย เจ้าเป็นพี่ชายข้า หากข้าลำบาก อี๋เหนียงจะต้องเสียใจ ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางแล้ว…เจ้าต้องช่วยข้า…ต้องช่วยได้แน่นอน!”
ชิวเยี่ยไป๋มองนาง มุมปากยกยิ้มเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อเบาๆ จนชิวซั่นหนิงล้มโครมลงกับพื้น
ชิวซั่นหนิงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เห็นรองเท้าปักลายเมฆาสีดำคู่หนึ่งอยู่ตรงหน้า
ชิวเยี่ยไป๋ยืนค้ำหัวมองนางจากมุมสูง เอ่ยเสียงเย็นอย่างไร้ไมตรีว่า “ใช่ เจ้าพูดไม่ผิด เจ้าเกิดเรื่อง อี๋เหนียงย่อมต้องเสียใจ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าผลักชิวซั่นจิงตกน้ำ ให้นางเย็นกายเย็นใจสักหน่อย”
ชิวซั่นหนิงตกใจ เงยหน้าน้ำตาคลอเบ้า “เจ้า…”
“บอกว่าเจ้าฉลาด ก็เพียงเพราะในหมู่พี่น้องมีคนที่โง่เง่ากว่าเจ้า แต่ชิวซั่นจิงกลับนับว่าเป็นคนฉลาดกว่าเจ้า” ชิวเยี่ยไป๋ยกมุมปาก ยามนางปากร้ายขึ้นมานับว่าโหดเ**้ยมนัก เพียงแต่ยามปกติแสร้งวางตัวสุภาพเรียบร้อยเท่านั้น
“น้องหญิง ทางที่ดีอย่าเอาอี๋เหนียงมาขู่ข้า ชิวซั่นจิงปากสว่างเรื่องโง่ๆ ที่เจ้าทำ ทำให้อี๋เหนียงเสียใจ จนถึงบัดนี้ยังร้องไห้เจียนตายนอนซมอยู่บนเตียง ส่วนเจ้าเป็นคนก่อเรื่องโง่ๆ เดือดร้อนมาถึงอี๋เหนียงและข้า เจ้าว่าข้าควรจะให้เจ้าหายสาบสูบไปหรือไม่ ปล่อยให้อี๋เหนียงร้องไห้เสียใจครั้งเดียว ไม่ต้องใช้น้ำตาล้างหน้าเพราะเจ้าอยู่บ่อยๆ ดีกว่าหรือไม่ หืม?” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มพลางโน้มตัวลงมา มือหนึ่งเชยคางชิวซั่นหนิง แต่ในดวงตาหามีแววยิ้มหัวไม่ ให้ชิวซั่นหนิงได้เห็นแววตาเกลียดชังหยามเหยียดของตนชัดๆ และ…จิตสังหาร
…เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ก็แค่โชคดีที่โผล่ออกมาจากท้องเดียวกับข้า เจ้าไม่เคยนับญาติกับข้าด้วยซ้ำ ก็อย่าได้หวังว่าข้าจะเห็นเจ้าเป็นญาติสนิทเช่นกัน!
“ข้า…ข้า…” นี่เป็นครั้งแรกที่ชิวซั่นหนิงเห็นชิวเยี่ยไป๋ในท่าทีเช่นนี้ แม้แต่ครั้งก่อนที่ชิวเยี่ยไป๋ลงมือกับนาง ก็มิได้ใช้คำพูดรุนแรงร้ายกาจใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทีในยามนี้ นางกลัวจับใจอย่างไม่อาจระงับ
เห็นสภาพอ่อนแอขลาดกลัวของชิวซั่นหนิงแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ก็แค่นหัวเราะในใจ หญ้าหางสุนัขคิดเผยอจะเป็นบุปผาน้อย ไม่สำเหนียกเลยว่ามันปลอมปนจนน่าทุเรศ
ชิวเยี่ยไป๋บีบคางนาง น้ำเสียงเปลี่ยนจากนุ่มนวลเป็นดูแคลน
“จะให้ข้าช่วยเก็บกวาดให้เจ้าย่อมต้องมีค่าตอบแทน น้องหญิงคิดให้ดีๆ ค่าตอบแทนครั้งนี้คือเลือดหัวของเจ้า ค่าตอบแทนครั้งหน้าคือไม่ต้องให้ใครลงมือ ข้าจะส่งเจ้าไปแดนสุขาวดีเอง”
กล่าวจบนางก็คลายมือ หันกายออกจากประตูอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งชิวซั่นหนิงที่ทั้งหวาดกลัวและตกใจขดตัวกองอยู่กับพื้น
ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างสงสัยของพวกบ่าวไพร่ ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งจะก้าวออกจากหอซิ่งอวี่ ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทางด้านหลัง “คุณหนู…เลือด…เลือด…ใครทำ!”
นางหยุดฝีเท้า ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงอ่อนระโหยของชิวซั่นหนิงเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “ไม่เป็นไร…ข้า…ข้าไม่ทันระวัง ศีรษะกระแทกเอง”
แววตาชิวเยี่ยไป๋ทอประกายวูบหนึ่ง แค่นหัวเราะเบาๆ แล้วเดินจากไป
หนิงชุนที่ตามมาข้างหลังโคลงศีรษะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นายน้อยสี่ผู้นี้ บทจะฉีกหน้ากากออกมา ช่างน่ากลัวนัก ไม่รู้ว่าถ้าบรรดาพักตร์ชาดรู้ใจ[1]ทั้งหลายมาเห็นเข้าจะตกใจตายหรือไม่
ด้านนี้เพิ่งจัดการกับชิวซั่นหนิง คำสั่งจากชิวเฟิ่งหลานทางอีกด้านก็มาถึง สั่งให้นางไปที่โถงประชุมหออวี้เฟิง ชิวเยี่ยไป๋ให้บ่าวชายที่มาแจ้งกลับไปบอกชิวเฟิ่งหลานว่า เพิ่งกลับมาบ้าน เหนื่อยมาก พรุ่งนี้ค่อยไป
นายน้อยใหญ่สกุลชิวย่อมมีความหยิ่งทะนง ความดีความชอบทางการทหารที่ได้มามิได้อาศัยใบบุญของความเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางยิ่งใหญ่ หากแต่ได้มาด้วยการกรำศึกอาบโลหิตมาอย่างโชกโชน ในจวนนี้ วาจาของเขาย่อมมีน้ำหนักพอๆ กับฮูหยินใหญ่ นี่นับเป็นครั้งแรกที่บ่าวผู้นั้นนอกจากจะเห็นคนกล้าขัดคำสั่งนายน้อยใหญ่แล้ว นายน้อยสี่ที่ขัดคำสั่งพอพูดจบก็เดินจากไปอย่างไม่ยี่หระ
บ่าวรับใช้อ้าปากตาค้างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรีบหันกายกลับไปรายงาน
ชิวเยี่ยไป๋เดินไปยังเรือนใหม่ของตนได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกายเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
…
“คุณหนู รีบดื่มยาตอนร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้กำลังป้อนยาให้ดรุณีที่เอนกายอยู่บนตั่ง
ใบหน้าของหญิงสาวแผ่กลิ่นอายปัญญาชน เพียงแต่ใบหน้าที่เดิมอ่อนโยนน่ารักเวลานี้กลับซีดเผือด หลังจากก้มศีรษะดื่มยาแล้วก็โบกมืออย่างอ่อนล้าให้สาวใช้ออกไป
ชิวซั่นจิงยังเป็นไข้อยู่ แต่ไม่ชอบให้ใครอยู่เป็นเพื่อนเพราะจะรบกวนการใช้ความคิดของนาง
ทว่าสาวใช้เพิ่งออกไป ชิวซั่นจิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีเงาวูบผ่าน นางตกใจลุกขึ้นนั่งทันที เห็นที่เก้าอี้หวายในห้องตนมีคนผู้หนึ่งนั่งอย่างสบายอารมณ์ ในมือยังคลึงอะไรบางอย่างเล่น
มิใช่ชิวเยี่ยไป๋แล้วจะเป็นใคร!
ชิวซั่นจิงนิ่วหน้า จากนั้นขอบตาก็แดงเรื่อ กล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “เจ้า…น้องสี่…ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด แม้เราจะเป็นพี่น้อง แต่มืดค่ำเจ้าบุกเข้ามาในห้องข้า เรื่องราววันนี้ยังไม่จบ เจ้าอย่าเหลวไหล…”
“ไม่ผิด ข้ามาขู่เจ้า” เสียงเย็นชาของชิวเยี่ยไป๋ดังขึ้นตัดบทชิวซั่นจิง
ชิวซั่นจิงอึ้งงัน นางเป็นคนความคิดอ่านรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร พูดจาพาทีมักอ้อมค้อมวกวน ทำให้ผู้อื่นตกหลุมพรางของนาง ครั้งนี้เดิมคิดจะพูดดักทางชิวเยี่ยไป๋ไว้ก่อน จะได้กล่าวหาชิวเยี่ยไป๋ว่ามาข่มขู่ตน นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะชิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นางทำอะไรไม่ถูก
“พี่สาม ไม่ลองเดาดูหรือว่าข้าจะขู่ท่านอย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ โน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ชิวซั่นจิงเห็นสิ่งของที่ตนกำลังถือเล่นในมือชัดเจน
——
[1] ใช้เรียกหญิงคนสนิทที่รู้ใจของผู้ชาย แต่ไม่ใช่หญิงคนรัก