ชิวซั่นจิงก้มมองก็เห็นป้ายหยกครึ่งซีกในมือชิวเยี่ยไป๋ ป้ายหยกนั้นถูกคนหักครึ่ง หมายเลขที่สลักไว้จึงหายไปครึ่งหนึ่ง
นี่เป็นป้ายหมายเลขประจำตัวผู้แข่งขันประลองสัตว์
แววตาของนางพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับมาสงบลงอย่างรวดเร็ว น้ำตาคลอเบ้ากล่าวว่า “น้องสี่ ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน พี่ไม่รู้ว่าไปทำอะไร น้องจึงได้จงเกลียดจงชังพี่นัก”
ชิวเยี่ยไป๋พลันหัวเราะเบาๆ “พี่สามไม่เกลียดคนที่จะฆ่าท่านหรอกหรือ แต่ข้าเกลียด ข้าไม่เพียงเกลียดพี่สามที่พยายามจะทำร้ายข้า ทั้งยังคิดจะขุดรากถอนโคน ฆ่าพี่สามเสียเลย ท่านว่าดีหรือไม่”
ชิวซั่นจิงตกใจ มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลายื่นมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ดูแล้วคล้ายกำลังล้อเล่น ราวกับกำลังถามนางว่าขอเด็ดดอกไม้สักดอกได้หรือไม่
ใช่แล้ว คุณชายสูงศักดิ์สุภาพอ่อนโยนผู้นี้เองที่ทำให้ใครต่อใครคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มบ้านใด จึงได้สง่างามโดดเด่นเช่นนี้
แต่นางพลันรู้สึกว่าร่างกายที่รุมด้วยพิษไข้สั่นเทิ้ม ถึงขั้นหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
“น้องสี่…เจ้า…ก็ชอบล้อเล่นไปได้” ชิวซั่นจิงฝืนยิ้ม มือขยุ้มผ้าห่มแน่น
“หากการที่พี่สามทำอะไรกับป้ายหยกของข้าเรียกว่าล้อเล่นละก็ ข้าย่อมจะให้พี่สามลองตายดู เช่นนี้ก็เป็นการล้อเล่นให้พี่สามเบิกบานใจใช่หรือไม่” ชิวเยี่ยไป๋ว่าพลางพยักหน้า ชักกริชออกมาจากข้างเอวช้าๆ
คมกริชสาดประกายเย็นวาบ ทำเอาชิวซั่นจิงกัดริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววตระหนก
ชิวซั่นจิงคิดอยากจะพูดว่า ที่นี่เป็นจวนสกุลชิว เจ้าไม่กล้าหรอก แต่นับจากที่ถูกนางผลักตกน้ำอย่างไม่ลังเลเมื่อเช้านี้ ก็รู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ไม่มีทางไม่กล้า
ความหลักแหลมลุ่มลึก เจ้าเล่ห์เพทุบายทั้งหลายทั้งปวงมลายไปสิ้นเมื่อเผชิญกับกลิ่นอายสังหารของคมกริช
เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวของชิวซั่นจิงแล้ว มุมปากของชิวเยี่ยไป๋ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
นางก็เป็นสตรีเช่นกัน ย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของการมีสติปัญญา แต่ในหลายสถานการณ์ นางยิ่งรู้ดีว่า ต่อหน้าความโหดเ**้ยมอำมหิตและอำนาจอันน่าเกรงขราม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้ความหมาย
“เจ้าถือดีอะไรจึงกล่าวหาข้า…เจ้าบ้าไปแล้ว ข้าจะไปฟ้องพี่ใหญ่!” ในที่สุดชิวซั่นจิงก็กัดฟันเอ่ยเสียงสั่นเครือออกไป
“หากชิวเฟิ่งหลานมีใจออกหน้าให้ท่านจริง ท่านคิดว่าข้ายังจะนั่งอยู่ที่นี่ได้หรือ ท่านกับชิวซั่นหนิงล้วนเป็นลูกอนุ ท่านย่อมประเมินได้ว่าไม่ว่าคนในจวนนี้หรือในวัง ย่อมไม่มีวันยอมให้ลูกอนุคนหนึ่งขวางเส้นทางขององค์ชายสาม แล้วเหตุใดจึงไม่เข้าใจว่าลูกอนุที่ไม่มีคนหนุนหลังเช่นท่านจะมีความสำคัญมากกว่าข้าที่เป็นขุนนางขั้นสี่ไปได้อย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋เล่นกริชในมือ ยิ่งตนเองดูลดท่าทีกว่าที่เป็นจริงเพียงใด ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นแก่ชิวซั่นจิงเพียงนั้น
สีหน้าชิวซั่นจิงแปรเปลี่ยนไปมา รู้ดีว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
แม้นางจะเป็นคนเจ้าเล่ห์หลักแหลม ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้แต่ซ่อนคมดาบในรอยยิ้ม ครั้นเผชิญกับภัยคุกคามชีวิต นางก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
“อ้อ ใช่แล้ว ข้ามันบ้า” ชิวเยี่ยไป๋พลันเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ฉะนั้นพี่สามอย่าได้มายั่วโมโหคนบ้าอย่างข้า ไม่เช่นนั้นหากข้าเกิดเผลอกรีดหน้าท่าน หรือปาดคอท่านเข้า คงไม่ดีแน่”
ในห้องเงียบงัน บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งจนรู้สึกหนาวเยียบผิดปกติ ชิวซั่นจิงได้แต่เจ็บใจตัวเองที่วันนี้หลังจากตกน้ำแล้วเพียงจับไข้เท่านั้น แทนที่จะหมดสติไปนานๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
ในเมื่อไร้กำลัง สุดท้ายจึงถามว่า “เจ้า…เจ้าคิดจะเอาเช่นไรกันแน่”
อับจนคำพูด อับจนหนทาง นางรู้ดีว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้กล้าลงมือกับนางแน่นอน เช่นเดียวกับนางที่วางแผนหมายเอาชีวิตเขา
“ง่ายมาก บอกข้ามา คนที่อยู่เบื้องหลังท่านเป็นใคร” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเนิบ พลางลุกขึ้นเดินเข้าไปหยุดตรงหน้านาง
ชิวซั่นจิงนิ่งอึ้งไป จากนั้นหลุบตาลง เอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่มีใคร ข้าแค่ไม่อยากเห็นชิวซั่นหนิงได้ดี ต่างก็เป็นลูกอนุเหมือนกัน นางมีเจ้าและอี๋เหนียงห้า ทั้งท่านพ่อยังรักใคร่เอ็นดู แต่ข้าไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีใครเหลียวแล ตั้งแต่เล็กก็ต้องเป็นฝ่ายยอม จึงคิดกำจัดอี๋เหนียงห้าและคนที่นางพึ่งพา หากเจ้าไม่กลับมาก็ไม่มีเรื่อง”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าครุ่นคิด “อืม คำพูดของท่านน่าจะเชื่อได้สักห้าส่วน แต่ว่า…” นางหยุดเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อด้วยสีหน้าเสียดาย “มิได้พูดความจริงทั้งหมด ตอบคำถามผิด”
ชิวซั่นจิงกำลังจะพูด ก็รู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านหน้าวูบหนึ่ง จากนั้นก็ถูกคนบีบคอแน่น นางเบิกตากว้างด้วยความตระหนก พยายามดิ้นรน กลับรู้สึกว่าพลังฝ่ามือของชิวเยี่ยไป๋รุนแรงจนน่ากลัว
ขณะที่คิดว่าตนกำลังจะขาดใจตายนั้น ชั่วขณะถัดมา ชิวเยี่ยไป๋ก็ให้โอกาสนางได้หายใจ ชิวซั่นจิงฟุบกายลงบนที่นอน อ้าปากหอบหายใจพะงาบๆ ราวกับปลาขาดน้ำ
ครู่ต่อมานางก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบของชิวเยี่ยไป๋ดังขึ้นอีกครั้ง “คนผู้นั้นเป็นใคร”
ชิวซั่นจิงขวัญผวา แววตาวูบไหว สุดท้ายยังคงสั่นศีรษะเป็นพัลวัน นางพูดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น!
ชิวเยี่ยไป๋แค่นหัวเราะ “ยังคงตอบไม่ตรงคำถาม ในเมื่อพี่สามไม่ยอมพูด เช่นนั้นต่อไปก็ไม่ต้องพูดแล้ว” กล่าวจบนางก็ดีดปลายนิ้ว ยาเม็ดหนึ่งถูกดีดเข้าปากชิวซั่นจิงพอดี
ชิวซั่นจิงตื่นตระหนก พยายามล้วงคอตนเองสุดชีวิต แต่ก็ป่วยการ นางอยากกรีดร้องแต่พบว่าไม่มีเสียงใดๆ ออกจากลำคอ
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเสียงเรียบ “นี่เป็นยาใบ้ แต่ข้ารู้ว่าพี่สามยังเขียนอักษรได้งดงามนัก”
ปลายนิ้วของนางกดย้ำๆ เบาๆ ที่หัวไหล่ของชิวซั่นจิง จากนั้นก็พยุงชิวซั่นจิงที่ขยับมือไม่ได้ให้นอนลงแล้วกล่าวว่า “แต่ไรมาข้าเป็นคนรักหยกถนอมบุปผามาตลอด พี่สามไม่ต้องวิตกต่อชีวิต ข้าจะวานซั่นหนิงให้ดูแลท่านให้ดี เมื่อใดที่ท่านอยากพูด ข้าจะมาเมื่อนั้น”
ชิวซั่นจิงเบิกตากว้างด้วยความโกรธเกรี้ยวระคนพรั่นพรึง
ป่านนี้ชิวซั่นหนิงย่อมต้องรู้แล้วว่าเรื่องที่นางเสียความบริสุทธิ์ถูกลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองเป็นฝีมือของตน และคงแค้นตนยิ่งนัก แม้จะไม่ถึงกับลงมือให้ตายแต่ก็คงโหดเ**้ยมอย่างที่สุด แล้วตนจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
ชิวเยี่ยไป๋ทำราวกับไม่เห็นความคับแค้นโกรธเคืองในแววตานาง เพียงยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อพี่สามตกน้ำจนคอได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังตกใจจนส่งผลถึงการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่นนั้นก็รักษาตัวให้ดีๆ เถิด”
กล่าวจบก็หันกายจากไป ทิ้งชิวซั่นจิงให้ตกอยู่ในความหนาวเหน็บและสิ้นหวังอย่างเดียวดาย
ออกจากประตู ดวงจันทร์ก็คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว บ่าวน้อยหน้ากลมที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูกำลังสัปหงก ครั้นเห็นชิวเยี่ยไป๋ออกมา ก็เดินโซเซเข้าไปหา ตัดพ้อเสียงเบาว่า “นายน้อยสี่ ชักช้าจริงๆ เลย”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว ดีดหน้าผากเขา “เจ้าจอมขี้เกียจเสี่ยวชี นอกจากกินแล้วยังทำอะไรได้บ้าง”
เสี่ยวชีเอามือกุมหน้าผาก ค้อนควักอย่างไม่พอใจ “ย่อมต้องช่วยนายน้อยสี่จัดการกับคนพวกนี้สิขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋มองไป เห็นข้างๆ มีสาวใช้สองคนนั่งหมดสติอยู่บนพื้น จึงพยักหน้าให้เสี่ยวชี “อย่าทิ้งร่องรอยล่ะ”