ผีน้ำสองคนประสานมือคารวะชิวเยี่ยไป๋อย่างนอบน้อม “คุณชายสี่ ห้องพักของพวกท่านอยู่ที่นี่ ทุกท่านเลือกห้องนอนของตนเองได้ อีกสักครู่จะมีคนนำน้ำร้อนและเสื้อผ้ามาให้ ทุกท่านโปรดชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าตามสบาย อีกครึ่งชั่วยาม พวกข้าจะมาเชิญไปโถงรับรอง”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแสดงว่าไม่มีความเห็น
หลายคนจึงเข้าไปในบ้าน ในบ้านสว่างไสวด้วยแสงไฟ ชิวเยี่ยไป๋เห็นในบ้านตกแต่งอย่างมีรสนิยมก็พอใจ เสี่ยวชีมีห้องพักอยู่ก่อนแล้ว ที่เหลือสามคนจึงต่างเลือกห้องของตนเอง
เห็นหลวงจีนเข้าห้องไป ชิวเยี่ยไป๋ยืนหน้าห้องของตนเรียกโจวอวี่ไว้ โจวอวี่รีบเดินเข้าหา
“ดีขึ้นบ้างหรือไม่ ถ้ายังเวียนหัวก็พักเสียที่นี่” ชิวเยี่ยไป๋นำโจวอวี่เข้ามาในห้องของตนเอง รินน้ำชาให้แล้วถามอย่างนุ่มนวล
นางมองดูปฏิกิริยาของโจวอวี่ นึกวิตกเหมือนกันว่าโจวอวี่ถูกกระแทกศีรษะอย่างแรงอาจมีปัญหา อาทิเช่นสมองถูกกระทบกระเทือน ซึ่งผลที่ตามมาอาจร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงก็ได้ แต่ในยุคนี้รักษายาก
โจวอวี่ฟังแล้วจิตใจดีขึ้นไม่น้อย ดวงตาฉายแววยิ้ม “ไม่เป็นไร เพียงแต่ต่อไปนี้ข้าน้อยต้องหมั่นฝึกฝีมือ จะได้ไม่ถูกหลวงจีนโง่โจมตีครั้งเดียวก็ยังหลบไม่พ้น”
เพียงแต่ยามนี้ ทั้งโจวอวี่และชิวเยี่ยไป๋ต่างมิรู้ว่า ถ้าหลวงจีนโง่จะจู่โจมเขาจริง ชาตินี้ต่อให้เขาฝึกปรืออย่างไร มีเขาอีกสิบคนก็ยังหลบไม่พ้น
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “เรื่องบางอย่างเจ้าต้องรู้แต่เนิ่นๆ จึงจะเตรียมตัวได้”
โจวอวี่งงงันและวางจอกน้ำชาลง มองดูนางอย่างเป็นงานเป็นการ
“ใต้เท้าโปรดบอก”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “สมัยวัยเยาว์ข้าอยู่ในชนบท บังเอิญพบกับเซียนเฒ่าเทียนจีผู้เป็นท่านอาจารย์จึงกลายเป็นเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่…”
เซียนเฒ่าเทียนจีเดิมทีมีศักดิ์ฐานะสูงล้ำในยุทธจักร ฐานะของสำนักหอซ่อนกระบี่มิใช่ฝ่ายธรรมะและมิใช่ฝ่ายอธรรม เดิมเป็นสถานที่เก็บศาสตราวุธของบุคคลในตำนานของยุทธจักรมากมาย แต่มิใช่จะเก็บศาสตราวุธของใครก็ได้
ต่อมาชาวยุทธจักรส่วนมากเชื่อว่าก่อนการเร้นกายหรือก่อนถึงสิ้นอายุขัย ถ้าได้เก็บศาสตราวุธของตนไว้ในที่บูชาของวังใต้ดินของหอซ่อนกระบี่เป็นการแสดงปณิธานของตน เพราะไม่ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมก็ตาม จะมีชื่อเสียงดีงามหรือเลวร้ายในยุทธจักรถือว่าเป็นการจรรโลงชื่อเสียงของตนไว้เป็นการถาวร
ดังนั้นในยุทธจักรจึงมีวลีกล่าวว่า ‘พอเข้าหอซ่อนกระบี่ ก็ไม่มียุทธจักรอีก’ แสดงถึงฐานะเหนือธรรมะและอธรรมของหอซ่อนกระบี่
ถ้าใครบังอาจตอแยสำนักหอซ่อนกระบี่ ก็เท่ากับลบหลู่ดวงวิญญาณของบุคคลทั้งในฝ่ายธรรมะและอธรรม เท่ากับเป็นการตั้งตัวเป็นอริกับคนทั้งยุทธจักร ดังนั้นแม้จะมีพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยหมายตา ศาสตราวุธวิเศษพิสดารที่เก็บไว้ในหอซ่อนกระบี่บ้าง แต่ไม่เคยมีใครกล้าเข้าปล้นชิงแม้แต่คนเดียว
โดยเฉพาะในสำนักหอซ่อนกระบี่เองก็มีกลไกกับดักนับมิถ้วน และคนในสำนักล้วนวิทยายุทธ์สูงล้ำ
“เพียงแต่ข้าฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ช้าเกินไป จึงมิได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ์ที่แท้จริงจากท่านอาจารย์จนครบถ้วน” ชิวเยี่ยไป๋สรุปอย่างย่นย่อ
ความจริงแล้วนางก็ไม่มีธาตุแท้ที่ดีนักในการฝึกวรยุทธ์ เทียบกับไป๋หลี่ชูแล้วห่างกันจนสุดกู่ ท่านอาจารย์เองก็ไม่เคยหวังว่านางจะมีวรยุทธ์สูงล้ำ แค่อยากให้นางมีฝือมือพอๆ กับยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธจักรก็น่าจะเพียงพอ
เซียนเฒ่าเทียนจีเชื่อสติปัญญามากกว่า และเห็นว่าสติปัญญาจะสามารถเอาชนะกองทัพนับหมื่น
ถ้ามิใช่ภายหลังนางเจอะกับไป๋หลี่ชู ก็จะไม่มีเรื่องการทะลวงจุดชีพจรเริ่มตูจนทะลุด่านความเป็นความตาย
แต่นางไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความซวยจากการตกเป็นเหยื่อที่อีกฝ่ายหมายปอง
แต่โจวอวี่ฟังแล้วรู้สึกว่านางกำลังถ่อมตัว
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขา ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ในเมื่อข้าพาเจ้ามาที่นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีจุดประสงค์อย่างไร”
โจวอวี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวงดงามฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง “คิดดูแล้ว หัวหน้าหลินคนนี้คงเป็นหัวหน้าผีน้ำแถบนี้ น่าจะครอบคลุมบรรดากลุ่มฝ่ายอธรรมที่หากินในบริเวณไหวหนาน ซึ่งก็หมายความว่าโจรสลัดที่ปล้นสินค้าตระกูลเหมยอาจปะปนอยู่กับแขกเหรื่อที่มาอวยพรก็เป็นได้ใช่หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้ากล่าวอ้อยอิ่งว่า “ไม่ใช่แค่อาจเป็นได้ แต่อยู่ในนี้แน่นอน”
โจรก็มีสัจจะของโจรเช่นกัน ไม่มีใครละเมิดกฎเกณฑ์ได้ ฝ่ายอธรรมของยุทธจักรต่างก็มีกฎเกณฑ์ของตนเอง ผู้ควบคุมทางน้ำฝ่ายอธรรมในอาณาจักรนี้คือหัวหน้าใหญ่ เท่ากับเป็นราชันในหมู่โจร เป็นผู้นำเหล่าโจรร้ายต่างๆ ในการต่อต้านทางการ เป็นโจรเล็กโจรน้อยตามลุ่มน้ำหัวหน้าพวกเขาอาจไม่ใส่ใจ แต่ในไหวหนานนอกจากการลำเลียงทางทะเลแล้ว ยังเป็นแดนอุดมของการขนส่งทางบกด้วย ดังนั้นหัวหน้าใหญ่มู่หรงจึงได้ให้พี่น้องร่วมสาบานของตนคือหัวหน้าหลินเป็นผู้ดูแล
ถ้าพวกโจรสลัดกล้าตอแยหัวหน้าหลิน ไม่ส่งส่วยที่ควรส่ง ไม่ต้องรอให้ทางการออกหน้า ก็จะถูกแก๊งอื่นๆ ในแถบไหวหนานจัดการเอง
โจวอวี่ฟังแล้วก็นึกชื่นชมชิวเยี่ยไป๋ นี่เป็นกระบวนท่าชักฟืนออกจากเตาอย่างแท้จริง ให้ข้าราชการของตงอั้นคิดว่าพวกตนกำลังสืบคดี แต่คาดไม่ถึงว่าพวกตนจะลงมือตรงๆ กับเหล่าอธรรมเลย ข้าราชการอื่นๆ จากสำนักราชทัณฑ์ย่อมไม่มีทางมีเส้นสายเช่นนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว อีกสักครู่ตอนไปโถงหน้าก็ไม่ต้องเรียกข้าเป็นใต้เท้า เพื่อมิให้คนอื่นสนใจเดี๋ยวจะแหวกหญ้าให้งูตื่นนะ” ชิวเยี่ยไป๋กำชับ
โจวอวี่เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว อีกทั้งปกติเป็นคนปล่อยตัว แต่ความจริงเป็นคนมากด้วยน้ำใจ ผ่านไปอีกสักพักขจัดนิสัยบุ่มบ่ามมุทะลุไปจะทำการใหญ่ได้แน่ และฐานะของเขาจะทำให้นางได้แนวร่วมลับๆ ที่ยื่นเข้าสู่ราชสำนักซึ่งเป็นจุดบอดของนาง
โจวอวี่ผงกศีรษะแล้วอำลากลับห้องของตนเพื่อไปเตรียมตัว
หลังชิวเยี่ยไป๋ส่งเขาไปแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็สำรวจตนเองว่าการปลอมตัวมีพิรุธหรือไม่ อากาศเดือนเจ็ดเช่นนี้สวมข้าวของเหล่านั้นไว้ไม่สบายอย่างยิ่ง นางจึงยินดีที่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายกว่าเดิม
ชิวเยี่ยไป๋จัดแจงตนเองเสร็จ โจวอวี่กับเสี่ยวชีก็พร้อมแล้ว พวกเขาพบว่าขาดอีกคนยังไม่ออกมา
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว เฝ้ารออย่างจนใจ จนกระทั่งดวงจันทร์คล้อยไปตะวันตก พบว่าใกล้จะครบครึ่งชั่วยามแล้ว คาดว่าเดี๋ยวคงมีผีน้ำมานำทาง แม้งานเลี้ยงใหญ่ประเภทนี้จะจัดเตรียมไว้ตลอดวันตลอดคืน เพื่อแสดงว่าอายุวรรณะสุขะยั่งยืนต่อเนื่องตลอดไป แต่ยามนี้ดึกดื่นแล้ว คนส่วนใหญ่ต้องพักผ่อน
นางจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น คงมิใช่ดันนั่งหลับในถังแช่อาบนะ”
โจวอวี่อาสาว่าจะไปดูเอง แต่เสี่ยวชีขัดขึ้นอย่างรำคาญ “แส่หาอะไร ข้าจะถามเจ้าดู สำนักหอซ่อนกระบี่ของเราทำอะไรบ้าง อย่าเผลอเผยพิรุธล่ะ”
ระหว่างนั้นชิวเยี่ยไป๋ก็ผลักประตูห้อง ‘ไต้ซือเมิ่งอี๋’ เข้าไปแล้ว โจวอวี่จึงจำใจรับมือเสี่ยวชี
พอชิวเยี่ยไป๋เข้าไปก็เห็นไอน้ำลอยกรุ่น หลังลับแลมีถังแช่อาบใบใหญ่ แต่ดูจากเงาแล้วไม่มีร่างของคน