เสี่ยวชีพึมพำในลำคอแล้วจากไป
นางออกจากเรือนของชิวซั่นจิง หนิงชุนเดินตามเงียบๆ เหลียวหลังไปมองเรือนงามวิจิตร แล้วกล่าวว่า “นายน้อยสี่ ไยจึงไม่ขุดรากถอนโคนเสียเลยเจ้าคะ”
คนในยุทธภพให้ความสำคัญต่อคุณธรรมน้ำมิตร ยิ่งไม่อาจทนต่อการถูกทรยศหักหลัง ต่อให้เป็นพี่น้อง หากผิดใจกันก็ต้องตัดให้ขาดในดาบเดียว หรือไม่ก็แทงให้พรุน สะบั้นจุดชีพจรทั่วร่าง จึงจะสมกับการสะสางบุญคุณความแค้นของชาวยุทธ์
ชิวซั่นจิงกับเจ้านายของตนเป็นสายเลือดเดียวกัน ความแค้นยิ่งใหญ่ในคราวก่อน ถึงกับใช้วิธีการโหดเ**้ยมหมายเอาชีวิต นับเป็นการละเมิดข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของชาวยุทธ์
ครั้งนี้เจ้านายเมตตาออมมือแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋หัวเราะเบาๆ “นางยังมีประโยชน์ บัดนี้มีปากแต่พูดไม่ได้ มือขยับไม่ได้ ย่อมไม่อาจส่งข่าวให้คนภายนอก และจะกลายเป็นหมากที่ผู้บงการเบื้องหลังโยนทิ้ง นางกำลังเข้าตาจน หมดโอกาสการออกเรือนในอนาคต ทั้งยังกังวลต่อชีวิตทุกวี่วัน ทั้งน้องหกคงตั้งใจ ‘ดูแล’ นางเป็นอย่างดี ไม่ถึงเดือนชิวซั่นจิงต้องทนไม่ได้แน่ และต้องยอมเปิดเผยว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”
หนิงชุนตะลึง นี่มิใช่ขออยู่ไม่ได้ ขอตายไม่รอดหรอกหรือ
นางอดเลื่อมใสฝีมือการทรมานคนและความคิดอันแยบยลหลักแหลมของเจ้านายมิได้ จึงไม่พูดอะไรอีก
กลับเป็นเสี่ยวชีที่จัดการเรื่องทางโน้นเสร็จรีบกลับมา แล้วมายืนพึมพำอยู่ข้างๆ ว่า “มิน่าเล่าคุณชายเทียนฉีถึงบอกว่านายท่านเป็นเดรัจฉาน!”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เจ้าว่าอะไรนะ”
เสี่ยวชีกลอกตา เอ่ยอย่างมั่นใจในเหตุผลของตน “ข้าว่านายน้อยสี่น่ะขอรับ ผู้อื่นนั่งเป็นคนดูแลหอไผ่เขียวไม่ใช่ง่ายๆ เลย บัดนี้คุณชายเทียนซูกลับมาแล้ว ท่านก็เอาข้ากลับมาเป็นเด็กรับใช้อีก ดีชั่วอย่างไรก็น่าจะแสดงน้ำใจกันบ้าง โม่แป้งเสร็จก็ฆ่าลา เช่นนี้เป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติเสียที่ใด เป็นเดรัจฉานชัดๆ”
ชิวเยี่ยไป๋ที่เดินอยู่พลันหันมาถามอย่างยิ้มแย้มว่า “อ้อ ข้าเป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติหรือ”
เสี่ยวชีตัวแข็ง รีบฝืนยิ้มประจบประแจง “ไม่มี ‘ไก่น้อย’[1] ก็เป็นบุรุษผู้ทรงเกียรติได้ขอรับ!”
เขาลืมไปว่า การไม่มี ‘ไก่น้อย’ เป็นเรื่องที่นายน้อยสี่เจ็บปวดใจเสมอมา
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเ**้ยม สองนิ้วหยิกแก้มนุ่มๆ ของเสี่ยวชีบิดไปมา “การแสดงน้ำใจของนายน้อยสี่เช่นข้าก็คือ ในเมื่อเจ้ามี ‘ไก่น้อย’ ก็จงอย่าให้เสียของ ไปหอไผ่เขียวแขวนป้ายรับแขกเสียเลยไป!”
เสี่ยวชีถูกบิดแก้มจนหน้าเหยเก “ข้าน้อยผิดไปแล้ว นายน้อยโปรดอย่าอิจฉาข้าน้อยเลย ท่านต้องมี ‘ไก่น้อย’ อันโตงอกออกมาแน่!”
ชิวเยี่ยไป๋ “…”
หนิงชุน “…”
…
ชายคางอนโค้ง หลังคาทองกำแพงแดงเจิดจรัสตระการตา เสียงผีผาเครื่องสายเคล้าเสียงพูดคุย คนงามหน้าแฉล้ม อาหารเลิศรส เป็นราตรีที่ครึกครื้น
เทียบเชิญงานเลี้ยงยามราตรีของจวนติ้งอ๋องเป็นสิ่งที่ทุกคนหมายปอง นอกจากอาหารชั้นเลิศ นางขับร้องคนงามชั้นเลิศ ตัวติ้งอ๋องยังเป็นพระโอรสในจักรพรรดินี มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุด จึงย่อมมีคนแห่แหนกันเข้ามาราวกับฝูงเป็ด[2]
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกับอาหารและคนงามตรงหน้า อย่างเช่นในห้องคนรับใช้ที่เรือนด้านหลัง มีทหารพกอาวุธอารักขาอย่างเข้มงวด
ติ้งอ๋องซึ่งควรอยู่ต้อนรับแขกเหรื่อ ยามนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องของคนรับใช้ เอ่ยเสียงเย็นว่า “จับมือสังหารที่บุกเข้ามาได้หรือยัง”
องครักษ์ผู้นั้นส่ายศีรษะอย่างนอบน้อม “ทูลท่านอ๋อง เราค้นห้องคนรับใช้ทุกห้องแล้ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
ติ้งอ๋องหรี่ดวงตาเรียวยาวอย่างส่อแววอันตราย ประกายตาลุกโชนราวคบเพลิงกวาดมองไปที่ลานด้านนอกช้าๆ จากนั้นลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปรอบห้อง
ชิวเยี่ยไป๋ที่ฟุบตัวเกาะอยู่ใต้หลังคากำลังใจจดใจจ่อ การไปพบชิวซั่นจิงของนางนับว่าไม่เสียเที่ยว เพราะพบจี้หรูอี้โค่ว[3]ชิ้นหนึ่งที่คนรับใช้ในจวนติ้งอ๋องมักใช้กัน จากนั้นก็สบโอกาสเหมาะในงานเลี้ยงของจวนติ้งอ๋อง แฝงกายเข้ามาสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับคนรับใช้ที่ติดต่อกับชิวซั่นจิง นึกไม่ถึงว่าจวนติ้งอ๋องจะจัดวางเวรยามแน่นหนาถึงเพียงนี้!
“ทูลท่านอ๋อง ฝ่าบาทเซ่อกั๋วเสด็จมาถึงแล้ว พระองค์จะเสด็จออกไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้นั้นกล่าวอย่างลังเล
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตัวทันที ในใจรู้สึกว่าตนโชคดี ไอ้โรคจิตไป๋หลี่ชูมาแล้ว ติ้งอ๋องไม่มีทางอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่แน่
นึกไม่ถึงว่าติ้งอ๋องฟังแล้วก็ชักเท้าที่จะก้าวออกไปกลับมา มุ่นคิ้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ให้ฝ่าบาทเซ่อกั๋วรอก็แล้วกัน”
จากนั้นก็หันกายกลับเข้าห้องคนรับใช้
ชิวเยี่ยไป๋กลัดกลุ้ม ได้แต่รอต่อไป
แต่แล้วเสียงเย็นเยียบวังเวงก็ดังขึ้น ทำเอานางเกร็งไปทั้งร่าง
“เป็นอะไรหรือ น้องสามเชิญข้ามาที่นี่ แต่กลับไม่อยากพบข้า”
ชิวเยี่ยไป๋กลั้นหายใจ เห็นประตูเปิดออก ร่างสีแดงเยือกเย็นก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ
ประตูค่อยๆ ปิดลงตามหลัง นางเห็นชัดเจนว่าติ้งอ๋องถึงกับตัวแข็งทันทีที่เห็นไป๋หลี่ชูเข้ามา
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูก็สังเกตเห็นเช่นกัน ก้าวเข้าไปหาติ้งอ๋องช้าๆ จนกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา ติ้งอ๋องมองคนงามเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ทว่าไหล่ที่แข็งเกร็งเล็กน้อยเผยอารมณ์ตึงเครียดในยามนี้ได้ดี
ไป๋หลี่ชูวางมือบนไหล่ของติ้งอ๋อง โน้มกายเข้าไปหาอย่างนุ่มนวล เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นอันใดไป น้องสามลืมสายใยที่เราเคยมีมาแต่เก่าก่อนแล้วหรือ”
บุรุษรูปงามเย็นเยียบท่ามกลางเงาสลัว กับคนงามชุดแดงทรงเสน่ห์ ช่างดูราวกับภาพวาดที่ประหลาดพิกลและคลุมเครือ
ชิวเยี่ยไป๋พลันเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงหรืออาจจะเรียกได้ว่าสนอกสนใจ
ไม่ผิดแน่ มีเรื่องชู้สาว! มีสัมพันธ์ฉาว!
จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ตลอดชีวิตนี้ชิวเยี่ยไป๋มิได้เติบโตในหอห้อง ทั้งยามปกติยังชอบทำตัวเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม บัดนี้มาได้ยินเรื่องสัมพันธ์ลับในหมู่เชื้อพระวงศ์กับหู จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ นางกลั้นหายใจทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเหมือนไม่มีตัวตน ฟุบตัวแอบฟังบนคานห้องโดยปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ
ติ้งอ๋องมองใบหน้ากระชากขวัญสะกดวิญญาณเบื้องหน้าอย่างเย็นชา แววตาสาดประกาย “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว ห้องรับรองด้านหน้ากำลังครึกครื้น ไยฝ่าบาทจึงไม่เสด็จไปเล่า”
ปลายนิ้วของไป๋หลี่ชูไล้ไปตามสาบเสื้อเขาอย่างถือวิสาสะ เอ่ยเสียงเนือยว่า “ไยจึงทำเหมือนคนแปลกหน้าไร้น้ำใจเช่นนี้ หืม?”
ร่างเพรียวบางในชุดแดงงามสง่าดุจหยก ทว่าแสงจันทร์เย็นเยียบที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาทำให้โครงร่างของเขาถูกลากเป็นเงายาวดำมืดดั่งห้วงสมุทรอันลึกล้ำไร้ขอบเขต โอบล้อมติ้งอ๋องไว้ในเงื้อมเงานั้น
ชิวเยี่ยไป๋พึมพำในใจ อืม ดูไปแล้วเหมือนติ้งอ๋องจะไม่ยินยอมและหยิ่งทะนงจริงๆ ทั้งว่าไปแล้วก็ไม่เหมือนคนที่จะข่มใครได้
ติ้งอ๋องคว้ามือไป๋หลี่ชูไว้ ถอยก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว กระหม่อมเชิญพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการร้องรำ มิใช่ให้พระองค์มาล้อเล่นกับกระหม่อม เรื่องราวในครานั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด”
ไป๋หลี่ชูหัวเราะเบาๆ คิ้วงามตวัดขึ้น “อืม หากข้าบอกว่าวันนี้อยากจะหยอกเอินน้องชายเล่า จะยอมให้ข้าได้ชื่นใจหรือไม่”
ติ้งอ๋องตัวแข็ง เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มกลั้นโทสะ หัวไหล่สั่นระริกเล็กน้อย เอ่ยน้ำเสียงนิ่งว่า “ฝ่าบาททรงล้อเล่นแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ซึ่งฟุบบนคานพึมพำในใจ จุๆๆ หยอกหรือ นี่มันโอ้โลมชนิดไร้ขอบเขตชัดๆ
ไป๋หลี่ชูนั่งลง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยว่า “น้องเราอยากให้ข้าสำราญใจจริงหรือ หรือเพียงหวังให้ข้าไม่ไปขวางคนของเจ้าที่กลุ่มค้าเกลือทางตะวันตกเฉียงเหนือ หืม?”
ติ้งอ๋องอึ้งงัน นั่งลงตามพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว ในเมื่อทรงทราบเจตนาของกระหม่อมแล้ว กลุ่มค้าเกลือเป็นเรื่องระหว่างกระหม่อมกับน้องห้า กระหม่อมมิบังอาจทูลขอให้ฝ่าบาทอยู่ฝั่งกระหม่อม แต่ก็หวังว่าจะไม่ทรงอยู่ข้างน้องห้าเช่นกัน”
——
[1] อ่านออกเสียงว่า ‘เสี่ยวจีจี’ เป็นศัพท์เด็กสำหรับเรียกอวัยวะเพศชาย
[2] เป็นสำนวน หมายถึง แห่กันเข้ามาแย่งชิงในสิ่งที่ไม่เหมาะสม
[3] ‘โค่ว’ คือเครื่องประดับหยกซึ่งเป็นทรงกลมมีรูตรงกลาง เป็นรูปแบบดั้งเดิมของ ‘ผิงอานโค่ว’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข ส่วน ‘หรูอี้’ คือคทาสมปรารถนา ในที่นี้จึงเป็นจี้ผิงอานโค่วที่สลักลวดลายของคทาสมปรารถนา