เดิมทีนางคิดว่าน่าจะลงมือต่อเหล่าเจอกู แต่เนื่องจากฟังเหตุผลที่ออกจะแปลกๆ เกี่ยวกับการเข้าสู่ค่ายฉงฉีของเขา จึงได้คิดว่าเขานี่แหละอาจเป็นคนบงการทุกอย่างในค่ายฉงฉี และคงมิใช่คนที่จะต่อกรได้โดยง่าย
แต่พอรู้ว่าเหมยซูจะมาก็คิดจะรีบอำลา อะไรจะบังเอิญปานนี้ จึงทำให้นางสงสัยว่าเขากับเหมยซูสมคบกันเรื่องอะไรที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้
ในเมื่อพบว่าซูจิ่นคอไม่แข็งพอ จึงใช้แผนบังคับกรอกสุราซูจิ่นกลับเห็นเขาผลักไสอ้างโน่นอ้างนี่
กังวลว่าเกิดเมาขึ้นมาจะติดต่อกับเหมยซูและคนของเหล่าเจอกูผิดพลาดหรือไร
ชิวเยี่ยไป๋แลดูซูจิ่นที่โซเซยืนไม่มั่นด้วยสายตาเย็นชา นางจึงดีดนิ้วเบาๆ ดีดถั่วลิสงเม็ดหนึ่งใส่เข่าของซูจิ่นโดยตรง
ซูจิ่นเพียงรู้สึกเจ็บคราหนึ่ง แล้วก็หกคะเมนลงกับพื้น บรรดาหัวหน้าค่ายย่อมมิใช่คนมีเมตตาจิตแต่อย่างใด จึงไม่มีใครไปพยุงเขา ต่างแลดูซูจิ่นล้มลงวัดพื้น
คนของค่ายฉงฉีทางด้านโน้นไม่นำพาต่อการห้ามปรามของเหล่าเจอกู พุ่งตัวออกมาพยุงซูจิ่น
บุรุษตัวโย่งสองคนพยุงซูจิ่นขึ้นจากพื้น ร้องเรียกเบาๆ อย่างร้อนใจว่า “ท่านรองหัวหน้า ท่านรองหัวหน้า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!”
คนอื่นๆ ของค่ายฉงฉีมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงเห็นซูจิ่นถูกกรอกสุราฟาดลงกับพื้นแต่ไม่มีใครพยุง ได้แต่มีโทสะทว่าไม่กล้าพูด
คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นผู้ใหญ่ของฝ่ายอธรรม ใครเล่าจะกล้าตีสีหน้าใส่พวกเขา ส่วนพวกที่เดิมทีก็ชังน้ำหน้าคนค่ายฉงฉีอยู่แล้ว ยามนี้เห็นพวกลูกกระจ๊อกของค่ายฉงฉีตีสีหน้าใส่พวกตน ก็ยิ่งหน้าเครียดยิ่งขึ้น
เวลานี้ซูจิ่นพูดไม่เป็นแล้ว รู้สึกมึนเมาเป็นที่สุด หน้าแดงก่ำเกาะแขนคนที่มาพยุงคนหนึ่งแล้วก็อาเจียนออกมา
เหล่าเจอกูเห็นขวางคนค่ายฉงฉีไว้ไม่อยู่จึงรีบตามเข้ามา พอเห็นบรรยากาศไม่สู้ดี จึงรีบเบียดเข้าไปใช้ร่างอ้วนใหญ่ขวางทุกคนไว้ แล้วยิ้มแหยๆ กับแขกทั้งโต๊ะของชิวเยี่ยไป๋ “ข้าดูแล้วเจ้ารองไม่ค่อยสบาย ไม่อยากรั้งไว้ให้เกะกะสายตาทุกท่าน ขอรีบพากลับไปให้สร่างเมาก่อนนะ”
เดิมทีหลินชงลั่งคิดจะสั่งสอนซูจิ่นเบาะๆ เท่านั้น เห็นแววตาขอร้องของเหล่าเจอกูก็คิดจะปล่อยพวกเขาไป
แต่เขายังไม่ทันออกปากก็ถูกชิวเยี่ยไป๋ชิงขัดขึ้นก่อน นางกล่าวเนือยๆ ว่า “ห้ามไปไหนทั้งซูจิ่นและเหล่าเจอกู ถ้าพวกเขาไป พวกเจ้าต้องอยู่รอรับหน้าคุณชายเหมย”
คราวนี้ไม่เพียงคนของค่ายฉงฉี แม้แต่หลินชงลั่งกับพวกก็งงงัน มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่เข้าใจ
คนที่พยุงซูจิ่นไว้ถามอย่างขุ่นเคือง “ทำไม”
ชิวเยี่ยไป๋พูดต่อ “ไม่ทำไม คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยใกล้ถึงแล้ว ถ้าคนที่ลงมือปล้นเรือเขาไม่อยู่ที่นี่ จะไม่มีใครออกหน้าขอโทษเขา เกรงว่าคุณชายเหมยจะคิดว่าพวกเราในลุ่มน้ำไหวหนานลำเอียงปกป้องจนเกินเหตุแล้ว”
คำพูดนี้มิใช่ไร้เหตุผล ทว่า…
“เมื่อครู่คุณชายสี่กับพวกเรารับปากให้พวกซูจิ่นกลับก่อนนี่นา ให้พวกเขาไปเถิด ด้านคุณชายเหมยผู้เป็นอายังพอรับหน้าได้” หลินชงลั่งลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงทุ้มหนัก
ชิวเยี่ยไป๋แลดูสีหน้าของเขา ก็รู้ว่าเขารู้ตัวอยู่ว่าควบคุมดูแลหละหลวมเกินไป จึงกล่าวอ้อยสร้อยว่า “ท่านหัวหน้าหลิน เมื่อครู่ผู้เยาว์พูดกับรองหัวหน้าซูเช่นนั้นก็เพราะเขาเหิมเกริมเกินไป ถือว่าความใจกว้างของพวกท่านและการยึดถือคุณธรรมเป็นเรื่องที่สมควร จึงเจตนาจะสั่งสอนให้พวกเขารู้เสียบ้างว่าฝ่ายอธรรมก็มีกฎเกณฑ์ แต่ในเมื่อพวกเรารับปากรองหัวหน้าแล้วย่อมไม่กลับคำ ซูจิ่นกับหัวหน้าค่ายย่อมกลับไปได้”
นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “แต่พี่น้องค่ายฉงฉีต้องรั้งไว้ ขอโทษคุณชายเหมยแทนหัวหน้าเหล่าเจอกูกับรองหัวหน้าซูจิ่น มีอย่างที่ไหน รับเงินเขาแล้วยังลงมือปล้นเรือเขา กลายเป็นพวกเราผิดสัญญา ต้องให้คนของค่ายฉงฉีโขกศีรษะขอขมาคุณชายใหญ่ กลิ้งบนพรมหนามรอบหนึ่ง อาจพอจะอุดปากคุณชายเหมยได้ จะได้ไม่กล่าวหาว่าพวกเราสมคบกับทางการใช้อำนาจบีบคน ทั้งหมดนี่ก็เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงของลุ่มน้ำไหวหนานทั้งสิ้น”
พูดจบนางก็กวาดตาช้าๆ ต่อหลินชงลั่งและพวกผู้ใหญ่ฝ่ายอธรรม “ไม่ทราบว่าทุกท่านเห็นเป็นอย่างไร ผู้เยาว์คิดเผื่อคนลุ่มน้ำไหวหนานนะ แต่สุดท้ายยังคงต้องให้หัวหน้าหลินตัดสินใจเอง”
วาจาของชิวเยี่ยไป๋มีเหตุผลทุกถ้อยคำ แต่หลินชงลั่งยังคงเงียบอยู่ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ แต่บอกไม่ถูกไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่เหล่าเจิงทนไม่ไหวแล้ว ฝ่ามือใหญ่ปานพัดใบลานตบโต๊ะฉาดกล่าวว่า “ก็คือเหตุผลนี้ ข้าคิดดูแล้วหัวหน้าค่ายฉงฉีก่อเรื่องจนเป็นเรื่องใหญ่แล้วกลับหลบหน้า พวกตัวเล็กตัวน้อยวันหลังห้ามเลียนแบบ ให้พวกเขากลิ้งพรมหนามก็แล้วกัน!”
การกลิ้งพรมหนามเป็นการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยม ให้คนกลิ้งผ่านแผ่นเหล็กที่ตอกตะปูแหลมยาวห้านิ้ว แม้ตะปูจะไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิตแต่ทรมานมาก หลังกลิ้งผ่านด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล้ว ทั้งตัวจะมีรูพรุนไปหมด
เดิมทีการลงทัณฑ์เช่นนี้ใช้กับชาวบ้านที่ละเมิดเบื้องสูง มักใช้ในยามฟ้องร้องต่อทางการเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หลังสถาปนาอาณาจักรเทียนจี๋แล้ว จักรพรรดิเจินอู่เชื่อฟังคำทูลขอของพระชายาหยวนเจิ้น จึงสั่งยกเลิกการลงโทษด้วยวิธีนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนกล้าที่จะพูด
ภายหลังในวงยุทธจักรจึงได้มีคำว่า ‘มัดหนามมาขอขมา’ ก็เป็นความหมายนี้
พอเหล่าเจิงพูดเช่นนี้ทุกคนก็เห็นว่ามีเหตุผล และพากันส่งเสียงเห็นด้วย แม้จะเจือปนไปด้วยความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากเห็นค่ายฉงฉีเติบโต แต่หลินชงลั่งยังคงสั่นศีรษะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ผิด…”
คิดไม่ถึงว่าพอขาดคำ ชายฉกรรจ์ที่พยุงซูจิ่นก็ตวาดลั่น “กลิ้งมารดาเจ้านะสิ ไอ้เฮงซวยพวกนี้คิดจะจัดการกับพวกเรา กลิ้งพรมหนามบ้าบออะไรกัน ข้าจะส่งไอ้เฮงซวยตัวเล็กนี่ไปเสียบตะปูเสียก่อน!”
ว่าแล้วก็คลายมือจากซูจิ่น คว้าป้านสุราบนโต๊ะทุบใส่ศีรษะชิวเยี่ยไป๋อย่างแรง
ชิวเยี่ยไป๋เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เบี่ยงกายหลบอย่างว่องไวไปแอบอยู่หลังหลินชงลั่ง กล่าวกับพวกเขาอย่างเย็นชา “ค่ายฉงฉีจะละเมิดกฎเกณฑ์หรือ”
“ไอ้หน้าขาว เจ้ายุแยงตะแคงรั่ว ไปตายเสียไป!” คนตัวโย่งจู่โจมไม่เป็นผล พลันปลายเท้าสะกิดพื้น ชักกระบี่อ่อนที่พันอยู่กับเอวฟันใส่ชิวเยี่ยไป๋ แต่นางยังคงหลบพ้น
ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง จ้องมองเขาอย่างท้าทายแต่ไม่โต้กลับ ที่นางต้องการคือให้คนของค่ายฉงฉีลงมือ!
หลินชงลั่งเองก็เกือบถูกป้านสุราฟาดใส่ แต่ยังไม่ทันตอบโต้เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าหาเรื่องตนในงานเลี้ยงวันเกิด ยามนี้เห็นประกายเงินวูบหนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับชักกระบี่ออกมาจึงพลันบันดาลโทสะ งานเลี้ยงฉลองวันเกิดในจวี้อี้ถางครั้งนี้ พวกเขามีมาตรการป้องกันคนมาหาเรื่องล้างแค้นอยู่แล้ว จึงมีคำสั่งให้เข้มงวดในการตรวจค้นไม่อนุญาตให้แขกเหรื่อพกพาอาวุธ