ตอนที่ 172 หลวงจีนเนื้อสุรา (1)
ไอ้สารเลวนี่ถึงกับลอบพกอาวุธ ไม่เพียงไม่เคารพคำสั่งของเขา แต่เหมือนกับมาแก้แค้นจริงๆ!
หลินชงลั่งตบโต๊ะฉาด ตวาดว่า “จับไอ้สารเลวนี่ไว้!”
คราวนี้คนส่วนใหญ่ในห้องโถงพากันเคลื่อนไหว หัวหน้ามีคำสั่งแล้วใครจะกล้าไม่ทำตาม แม้พวกเขาจะไม่มีศาสตรา แต่หลายคนก็เป็นผู้มีฝีมือไม่น้อย!
เหล่าเจอกูลนลานจนทำตัวไม่ถูก กำลังคิดจะพูดอะไรก็เห็นคนของค่ายฉงฉีถูกล้อมไว้ ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี และชักกระบี่อ่อนที่พันคาดเอวออกมา
คราวนี้หลินชงลั่งโกรธจนหน้าเขียว
“ไอ้พวกนี้…จะพลิกฟ้าหรือไร จับไว้ จับไว้!”
สิ่งที่ตามมากับคำสั่งที่สำทับซ้ำ คือสถานการณ์ก็ชุลมุนเพราะการต่อยตีโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด จานชามบินว่อน!
กับการจู่โจมของคนตัวโย่ง ชิวเยี่ยไป๋เพียงหลบโดยมิได้ตอบโต้และลอบสังเกตแนวทางฝีมือของอีกฝ่ายเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นคนของสำนักใด นางเห็นสองคนที่พุ่งเข้ามาประคองซูจิ่นครั้งแรก แม้พวกเขาจะสวมหมวกไว้ แต่ยังคงสามารถเห็นขมับที่นูนสูง!
นี่มิใช่โจรสลัดธรรมดาแล้ว หากแต่เป็นผู้มีพลังภายในสูงล้ำ!
ชิวเยี่ยไป๋รับมืออยู่ทางนี้ โจวอวี่กับเสี่ยวชีก็คอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ
แต่ยังมีคนหนึ่ง กลับนั่งอยู่กับที่ท่ามกลางความโกลาหล จับจ้องนกพิราบทอดในจานเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ
เขามิได้สนใจว่ารอบข้างกลายเป็นสมรภูมิแล้ว เอาแต่ลูบคลำลูกประคำในมือ พลางตั้งอกตั้งใจขบคิดปัญหาหนึ่ง…กินนกพิราบทอดตัวนี้?
หรือว่าไม่กิน
เขารับปากประสกคนนี้แล้วว่าคืนนี้จะไม่กินอีก
ทว่าเขาอุตส่าห์ลงแรงโขจึงทำให้สีกาผู้นั้นยอมยกนกพิราบทอดให้ และดวงจันทร์ก็ลับฟ้าแล้ว ตะวันกำลังจะขึ้น นี่เป็นวันใหม่แล้ว ถ้าเช่นนั้น…เขากินนกพิราบตัวนี้ก็ไม่ถือว่ามุสานี่นา
จะว่าไปช้าหรือเร็วนกพิราบทอดตัวนี้ก็ต้องถูกคนกินอยู่ดี เขากินลงไป ก็เท่ากับสวดส่งนกพิราบในท้องไส้ เสร็จแล้วก็สวดภาวนาให้พวกมันรีบไปผุดไปเกิดไม่ต้องเป็นสัตว์อีกต่อไป ก็ถือว่าเมตตานี่นา
หยวนเจ๋อพอใจกับความคิดปลอบใจตนเองนี้ จึงคล้องสร้อยประคำที่ข้อมือให้เรียบร้อย เตรียมขยับตะเกียบ
ตามระดับความเร็วของเขา การส่งพิราบทอดตัวนี้ไปผุดไปเกิดใช้เวลาชั่วพริบตาเท่านั้น ประสกคนนั้นคงไม่มีทางรู้ว่าเขาส่งวิญญาณนกพิราบทอดตัวหนึ่ง
ทว่า ชีวิตคนเราเรื่องที่ไม่สมปรารถนามักมีถึงเก้าในสิบ หรืออาจเพราะองค์พุทธะคงไม่อาจทนมีสาวกตะกละเช่นนี้ต่อไป
ขณะตะเกียบของหยวนเจ๋อเพิ่งกระทบถูกนกพิราบทอด พลันมีเงาร่างหนึ่งจู่ๆ ก็บินมากระแทกใส่โต๊ะดัง โครม
ตะเกียบของหยวนเจ๋อค้างกลางอากาศ เขาเห็นชัดว่านกพิราบทอดที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กำลังจะร่วงลงพื้นในพริบตา เขาแทบจะมองเห็นฝุ่นผงบนพื้นห่อหุ้มนกพิราบตัวนี้
เขาจึงก้มตัวลงตามสัญชาตญาณจะรับไว้ ทว่า…
ตึง! เท้าใหญ่ข้างหนึ่งเหยียบใส่มือเขาอย่างไม่เกรงใจ และย่อมเหยียบเอานกพิราบทอดตัวนั้นด้วย
หยวนเจ๋อหน้าซีดเผือด แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นแลดูบุรุษร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าอย่างใจเย็น “ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว”
คนคนนั้นเป็นชายฉกรรจ์ที่กำลังไล่ฟันชิวเยี่ยไป๋ แต่ยามนี้เขาถูกชิวเยี่ยไป๋หยอกเย้าจนเหนื่อยหอบ เหงื่อโทรมกายโทสะอัดแน่นอกอยู่แล้ว เมื่อก้มมองเห็นหยวนเจ๋อซึ่งเป็นหลวงจีนที่มาพร้อมกับชิวเยี่ยไป๋ จึงหัวร่อหน้าเบี้ยวบูด “ข้าไม่เพียงจะเหยียบของกินเจ้า ยังจะเหยียบมือไอ้หลวงจีนสกปรกด้วย มีอะไรไหม!”
ว่าแล้วก็กระทืบใส่มือของหยวนเจ๋อ พริบตานั้นเสียงกระดูกหักดัง กร๊อบ
เขาถึงกับกระทืบหยวนเจ๋อจนมือหัก
ไหนๆ ดูแล้วหลวงจีนคนนี้ไม่คล้ายมีวิทยายุทธ์แม้แต่น้อย
สิบนิ้วสัมพันธ์กับหัวใจ แต่หยวนเจ๋อดูเหมือนจะไม่เจ็บปวดกับนิ้วมือที่ถูกย่ำจนหัก ใบหน้ายังคงสงบและเปี่ยมด้วยเมตตา ย้ำอีกครั้งว่า “ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว ทำแบบนี้ไม่ถูก”
คนคนนั้นเห็นหยวนเจ๋อเหมือนจะเทศนาตน และเห็นเขาไม่มีแววเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพลิงโทสะยิ่งฮือโหม ตวัดกระบี่อ่อนในมือฟันใส่ศีรษะของหยวนเจ๋อทันที
“ไปตายพร้อมกับอาหารของเจ้าเถิด!”
ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งหันมาเห็นอันตรายที่น่าหวาดเสียวของหยวนเจ๋อก็สะดุ้งในใจ กำลังจะคว้าป้านสุราที่อยู่ข้างๆ ขว้างใส่ศีรษะคนคนนั้น แต่ฉากต่อมาทำเอาชิวเยี่ยไป๋ยืนเซ่อ
หยวนเจ๋อพลันยกมือ ใช้มือเปล่าหนีบกระบี่อ่อนที่ฟันลงมา อีกมือคว้านกพิราบทอดแล้วลุกขึ้นยืน มองดูคนคนนั้นอย่างเฉยเมย ถอนหายใจคราหนึ่ง “ประสก เจ้าเหยียบอาหารของอาตมาแล้ว!”
นาทีต่อมา กระบี่ในมือก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับมิถ้วน!
“สารเลว ไอ้หลวงจีนทุศีล กล้าดีอย่างไรถึงฆ่าพี่ใหญ่ข้า…!” เสียงโกรธแค้นคำรามลั่นท่ามกลางความเงียบ ในเวลาเดียวกันคมกระบี่ก็แหวกอากาศจู่โจมใส่ด้านหลังของหยวนเจ๋อ
คนที่จู่โจมเคลื่อนไหวเร็วมาก และเป็นการจู่โจมกระชั้นชิด ทำให้คู่ต่อสู้แทบจะไม่มีโอกาสป้องกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนไม่ทันขยับ เพียงรู้สึกว่ามีแสงสีเงินผ่านวูบหนึ่งและหลวงจีนน้อยก็ไม่ทันจะตอบโต้ ดูท่าว่าต้องอาบเลือดเสียชีวิตตรงนั้นแล้ว
ตอนที่ 173 หลวงจีนเนื้อสุรา (2)
เสี่ยวชีขยับร่างจะเคลื่อนไหว กลับถูกปลายนิ้วของชิวเยี่ยไป๋กดไว้
เสี่ยวชีไม่เข้าใจจึงมองดูชิวเยี่ยไป๋ ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้ากล่าวว่า “ดู”
เสี่ยวชีงงงัน พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศดังขึ้นข้างกาย เขารีบหันกลับมาดู ทางด้านโน้นคมกระบี่ที่กำลังจะฟันเข้าใส่ศีรษะของหยวนเจ๋อจู่ๆ ก็ชะงักค้าง
เพราะหยวนเจ๋อเบี่ยงศีรษะหลบ ปลายกระบี่ที่แฝงไอสังหารจึงพลาดเป้าเฉียดข้างหูไปนิดเดียว เขายกมือขึ้นช้าๆ หนีบปลายกระบี่ไว้ด้วยสองนิ้วอย่างเบาแรง ราวกับคีบใบไม้ใบหนึ่ง
แล้วหันหน้ามายิ้มกับคนคนนั้นหน้าตาเฉย กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ประสกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ กลายเป็นอาหารให้คนได้อิ่มท้อง จะย่ำยีได้อย่างไร บาปกรรม”
ขณะเขาพูดอยู่ บังเอิญลมยามเช้าหอบหนึ่งโชยมา ทำให้ผมที่ปรกหน้าผากเปิดออก เผยใบหน้ากว่าครึ่ง แววตาสีเงินนุ่มนวล บริสุทธิ์ไร้มลทิน สงบราวกับฟากฟ้าและทะเล คล้ายสามารถทำให้ผู้คนเห็นว่าระหว่างเมฆกลุ่มใหญ่ที่ลอยขึ้นลง มีพุทธะถือดอกไม้แย้มยิ้มอยู่ คล้ายผู้ทรงศีลที่มองดูแล้วจิตใจสงบลง
ทว่า คนในโลกนี้ล้วนเป็นคนธรรมดา คนที่เคียดแค้นเห็นท่าทางและรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวเหมือนสาดน้ำมันลงกองเพลิง
คนคนนั้นมองดูหยวนเจ๋อที่รับกระบี่ของเขาได้ง่ายดายอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วแสยะยิ้มเหยียดหยามใส่หยวนเจ๋อ กล่าวผรุสวาทแววตาเกรี้ยวกราด ดิ้นรนพลางต่อยใส่หยวนเจ๋อหมัดหนึ่ง “ไสหัวมารดาเจ้ามา เจ้าหลวงจีนปีศาจ ข้าไม่เพียงจะเหยียบของกินเจ้า ยังจะสับเจ้าให้เละนำไปป้อนสุนัขด้วย”
ระหว่างที่พูดยังไม่ลืมใช้เท้าข้างหนึ่งย่ำใส่เป็ดแช่น้ำเกลือบนพื้นและกระทืบซ้ำ ราวกับแค้นนักที่มิใช่กะโหลกของหยวนเจ๋อ
เห็นได้ชัดว่า การไม่รู้จักทะนุถนอมอาหารของเขาทำเอาหลวงจีนเมิ่งอี๋เกิดโทสะ
ม่านตาสีเทาเงินของหยวนเจ๋อหรี่ลงในพริบตา บิดปลายนิ้ว เคร้ง เสียงกังวาน กระบี่เล่มนั้นกลายเป็นเศษชิ้นนับไม่ถ้วนอีกครั้ง
และท่ามกลางสายตาที่งุนงงของคนผู้นั้น มือเขาก็รับกำปั้นอย่างง่ายดายและลูบเบาๆ ทำเอาคนคนนั้นยั้งไม่อยู่จึงไถลเฉียดข้างกายหยวนเจ๋อไปในพริบตา เขายังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นแขนขาวผ่องข้างหนึ่งยกเท้าเขาขึ้น จากนั้น…
หยวนเจ๋อยังคงใช้ท่าทางแสนงามสง่าตามแบบของเขากดอีกฝ่ายใส่เสาใหญ่ข้างกาย
ขณะเดียวกันปลายนิ้วอีกมือก็จีบเข้าหากันเป็นรูปดอกบัวแห่งพุทธะ หลุบขนตางอนยาวลง พึมพำอย่างนุ่มนวล “ขจัดกรรมทั้งปวงก็จะบรรลุแดนธารณี ชำระตนเองจากวจีกรรม กายกรรม มโนกรรม ทำลายมารชั่วทั้งสี่ ชาติหน้าพ้นจากการเกิดเป็นเดรัจฉาน…”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลราวสายน้ำ ราวกับเสียงพุทธะจากสวรรค์ที่ขจัดซึ่งกรรมทั้งปวง
ทุกคนได้แต่แลดูหลวงจีนผมสีเงินที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์และเมตตาการุณ ที่กำลังท่องมนตร์ด้วยใบหน้าแสนเมตตา แต่กดใบหน้าของคนคนนั้นฝังเข้าไปในเสา
คนผู้นั้นไม่มีโอกาสขัดขืนแม้แต่น้อย จนกระทั่งศีรษะจมลงในเสาจนมิด เนื่องจากร่างกายของเขายังคงกระตุก ดูแล้วจึงเหมือนเขาเกิดมากับเสาต้นนี้ ตัวเสาบริเวณที่ฝังลงไปไม่มีรอยแตกร้าวแม้แต่น้อย
หลวงจีนที่หน้าตางดงามที่สุด กำลังแสดงวิธีส่งวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้ว แลดูเงาหลังของหยวนเจ๋อด้วยสีหน้าสุดจะหยั่งคะเน
บางครั้งคนเราก็ไม่ยอมรับการสั่งสอนหรือไม่ก็แค่หัวร้อนจึงมุทะลุ และท้าทายสิ่งที่เหนือกว่าตนเองอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด หรือไม่ก็ถือว่าสองมือยากจะต้านสี่หมัด มีคนมากกว่าก็ได้เปรียบ เห็นได้ชัดว่าคนของค่ายฉงฉีก็คือประเภทเหล่านี้
พวกเขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ชักกระบี่ฮือเข้าใส่หยวนเจ๋อ แค้นนักจนอยากสับหยวนเจ๋อให้แหลกละเอียด
หยวนเจ๋อแลดูม่านกระบี่รอบตัวที่คลุมลงมา และแล้วทุกคนก็เห็นเงาร่างสีเงินล่องลอยราวพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ มุดไปมุดมาท่ามกลางม่านกระบี่อย่างเหลือเชื่อ ไม่มีคมกระบี่ใดถูกตัวเขาเลย ชิงกระบี่ด้วยมือเปล่า การเคลื่อนไหวอ่อนช้อยพลิ้วไหวแต่ตบทุกคนฝังเข้าไปในเสาผนังและพื้น
เสียงแผดร้องโหยหวนและเสียงกรีดร้องคำรามด้วยความหวาดกลัวล้วนถูกเสียงสวดมนตร์กลบไปหมด บทสวดส่งวิญญาณลอยละล่องในห้องโถง เสียงสวดมนตร์ฟังดูจริงใจ แฝงด้วยความมีเมตตากังวานก้อง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าวิญญาณคงถูกชำระจนบริสุทธิ์แล้ว และแทบจะทำให้ผู้คนนึกว่านี่เป็นพิธีใหญ่ของการแสดงธรรมเทศนาของผู้ทรงศีลสูงส่งหรือไม่ก็เป็นพิธีขอพร
แต่ภาพเบื้องหน้าน่าสะพรึงกลัว ทำเอาทุกคนรู้สึกว่าทุกอย่างที่อยู่ในสายตาล้วนบิดเบี้ยวขาดวิ่น
ทุกคนจะลืมฉากการส่งวิญญาณที่แสนโหดเหี้ยมนี้ไม่ลงไปชั่วชีวิต
ขณะคำสวดสุดท้ายจางหายไป ทั่วบริเวณนั้นเงียบสงัดเหมือนตกอยู่ในความตาย แม้แต่เข็มตกก็ได้ยิน
นรกของแขนขาชิ้นส่วนร่างกายกับแดนสุขาวดีของพุทธะผสมผสานกันอย่างพิสดาร ราวกับเป็นพิธีเซ่นสังเวยที่น่ากลัวเหมือนอเวจี แต่ที่น่าสะท้านใจและน่ากลัวยิ่งกว่าคือ หลวงจีนผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยใบหน้าที่งดงามเปี่ยมด้วยเมตตา หลังจากประกอบพิธีของเขาเสร็จแล้วก็หันหน้ามาประจันกับทุกคนด้วยแววตาสีเทาเงิน
แววตาของเขายังคงเมตตาเวทนาต่อสรรพสัตว์เช่นเดิม ราวกับพุทธะกำลังแลดูสรรพสัตว์ใต้อาสน์ของตน สองมือกำลูกประคำ ประนมมือขึ้นช้าๆ ที่หว่างคิ้ว หลุบตากล่าวเนือยๆ ว่า “ชีวิตล้วนอนิจจัง ล้วนมัวเมากับมารและมายา เหยียบย่ำสิ่งที่ฟ้าประทานจะตกสู่ห้วงอเวจีของเดรัจฉาน ให้อาตมาสวดส่งพวกท่านเถิด”
ทุกคนในที่นั้นตัวแข็ง มีอากัปกริยาเหมือนกันหมดคือ…ก้มลงมองเท้า ดูว่าได้เผลอเหยียบเอาหมูเห็ดเป็ดไก่หรือหมูหันบ้างหรือไม่!
บางคนสีหน้าปั้นยาก บางคนถอนใจอย่างโล่งอก
แต่สีหน้าของหลินชงลั่งกับผู้ใหญ่ฝ่ายอธรรมบนโต๊ะนั้นยังคงซีดเผือดหรือไม่ก็เขียวคล้ำ ขัดตาเป็นที่สุด การได้เป็นหัวหน้าค่ายฝ่ายอธรรม ทำให้พวกเขาล้วนมีประสบการณ์โชกโชนในการสัมผัสกับกลิ่นอายอันตราย
หลังแสดงฉากเซ่นสังเวยที่น่าสะพรึงกลัวจบแล้ว แต่ใบหน้าและร่างกายของเขาไม่มีกลิ่นอายของการฆ่าฟันแม้แต่น้อย ยังคงดูบริสุทธิ์ผุดผ่องและทำให้ผู้คนนึกถึงความสงบ
คนที่อยู่เบื้องหน้าล้วนตกอยู่ในสภาพหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ผู้มีฝีมือสูงสุด หลังเข้าสู่เส้นทางมารแล้วล้วนเข่นฆ่าเป้าหมายไม่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าเขาอาจใช้วิธีเดียวกัน ‘ส่งวิญญาณ’ ของทุกคนในที่นี่!
ไม่มีใครคิดว่างานเลี้ยงอวยพรวันเกิดจะกลายเป็นขุมนรก
พวกเขาจะสู้หรือไม่สู้ ถ้าไม่สู้และจะหลบหนี อีกสักครู่ก็จะกลายเป็นเครื่องประดับร่างมนุษย์บนผนังหรือบนพื้น
ถ้าจะสู้ ต่อให้พวกเขาไม่เจียมตัวอย่างไร หลังเห็นฉากสังเวยที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ก็รู้ว่าไม่มีทางชนะพุทธะเบื้องหน้าคนนี้ได้ ไม่ เป็นมารต่างหาก หรือจะเรียกว่ามารพุทธก็ได้!
ขณะที่ทุกคนกำลังต่อสู้กับจิตใจของตนเอง เงาร่างที่น่ากลัวก็ก้าวช้าๆ ไปยังที่ที่มีคนมากหน่อย
คนเราย่อมมีสัญชาตญาณการหลบหลีกอันตราย เห็นหยวนเจ๋อเดินประนมมือเข้าหา แม้สีหน้าเขาจะนุ่มนวล ดวงตาสีเทาเงินยังคงงดงามเหมือนเดิม แต่ทุกคนก็อดถอยไปก้าวหนึ่งมิได้