ถ้ามิใช่ไอ้หมอนี่รั้งใต้เท้าไว้ในห้อง พวกเขาคงกลับถึงตงอั้นนานแล้ว!
มันบังอาจนอนกอดใต้เท้าทั้งวัน ไร้ยางอายจริงๆ!
หยวนเจ๋อแลดูเขาอย่างงุนงง ท่าทางไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร โจวอวี่โมโหไปก็เปล่าประโยชน์ จึงหันศีรษะกลับอย่างจนใจ กล่าวกับชิวเยี่ยไป๋ว่า “เราควรกลับไปก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรก็ยังต้องสืบคดีที่นี่ และคงทิ้งเหมยเซียงจื่อมิได้กระมัง”
สืบคดี?
ความคิดวาบขึ้นในหัวชิวเยี่ยไป๋ จึงหรี่ตาลงกวักมือให้เสี่ยวชีแล้วสั่งว่า “เออนี่ เจ้านำป้ายเอวของข้าไปที่บ้านตระกูลหลี่ที บอกพวกเขาว่ามีคนส่งสาส์นลับมาฟ้องแต่เช้า ดังนั้นพวกเราจึงไปตามหาเบาะแส จะกลับมาตอนอาหารค่ำ”
เสี่ยวชีรับป้ายเอวประจำตัวหัวหน้ากองซือหลี่เจียน กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “แต่คุณชายสี่ ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าพวกเราออกมาคราวนี้จะให้พวกบ้านแซ่หลี่รู้ไม่ได้”
นางยิ้มเนือยๆ “เจ้าคิดว่าพวกเขาไม่พบพิรุธว่าพวกเราออกมาหรือ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะ ระหว่างฟ้าอำนวยสถานที่เหมาะสมคนสามัคคี ในเมื่อพวกเราได้จังหวะเวลาเหมาะที่สุด ที่เหลือก็ต้องดูว่าพวกเราตักตวงสิ่งที่ต้องการในน้ำขุ่นนี้ได้มากเท่าใด และคนอื่นปกปิดได้เร็วแค่ไหน”
ในเมื่อเหมยซูมาถึงตงอั้น มิได้รั้งไว้ ตรงไปค่ายโจรสลัดเลย และตามรอยนางไม่ทัน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ที่ต้องช่วงชิงคือความรวดเร็วที่เหนือกว่า!
สายตาของนางหยุดลงที่ห่อของกินมหึมาที่หยวนเจ๋อแบกอยู่ แววตาเย็นเยียบ
เสี่ยวชีผงกศีรษะแล้วหันกายไปบ้านตระกูลหลี่
“ไป หาที่เหมาะๆ คุยกัน”
พูดจบนางก็หันกายเดินตรงไปอีกทิศหนึ่ง
โจวอวี่กับหยวนเจ๋อรีบตามไปติดๆ
นางพบโรงเตี๊ยมที่ซอมซ่อแห่งหนึ่ง จึงให้คนรับใช้เปิดห้อง แล้วทั้งสามก็เข้าไปในห้อง
โจวอวี่ปิดประตูแล้วก็ไม่ขยับ ยืนอยู่ที่ประตู สำรวจรอบๆ อย่างตื่นตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง นี่ทำให้ชิวเยี่ยไป๋พอใจ เห็นว่าเขาพอจะมีเค้าลางเป็นองครักษ์ซือหลี่เจียนแล้ว
นางเดินไปข้างกายหยวนเจ๋อ หยวนเจ๋อปลดห่อของลงแล้วสะบัดห่อผ้าออก ปรากฏก้อนกลมเนื้ออ้วนขาวขนาดใหญ่กลิ้งกับพื้น
หรือจะกล่าวว่า…คนที่อ้วนขาวเหมือนก้อนกลมคนหนึ่ง
คนคนนี้ตามตัวมีรอยแผลอยู่บ้าง ท่าทางทุลักทุเล แต่ดูให้ดีก็พบว่าบาดแผลไม่ลึกนัก แต่พอถูกเทออกมาเขาก็แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนสลบไป
ชิวเยี่ยไป๋แลดูร่างคนที่พื้น คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “นายใหญ่ของค่ายฉงฉีขโมยกระดิ่งเช่นนี้เองหรือ จะว่าไปแล้วคนของค่ายฉงฉีล้วนเป็นยอดฝีมือ เหล่าเจอกูที่แท้เจ้ามิใช่คนของค่ายฉงฉีหรอกหรือ หืม”
ที่นางให้อาเจ๋อแบกกลับมามิใช่ของกินแต่ประการใด หากเป็นคนคนหนึ่ง เหล่าเจอกู…หัวหน้าค่ายฉงฉี
ร่างอ้วนใหญ่นั้นชะงักแล้วหันศีรษะมา มองดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยใบหน้าซีดเผือด แววตาวิงวอน “คุณชายสี่ โปรดไว้ชีวิต”
ชิวเยี่ยไป๋ลากเก้าอี้นั่งไขว่ห้าง คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มแลดูเหล่าเจอกูกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เหล่าเจอกู ในเมื่อข้าเอาตัวเจ้าออกมาจากค่ายหัวหน้าหลิน ย่อมมิมีเจตนาจะเอาชีวิตเจ้า”
ในการต่อสู้ชุลมุนฉากนั้น ซูจิ่นถูกแทงด้วยกระบี่จนร่อแร่ พาออกมาก็มิรู้ว่าจะรอดหรือไม่ นางจึงให้โจวอวี่ทุบกะโหลกเหล่าเจอกูที่พอเริ่มตะลุมบอนก็รีบแอบซุกตัวในตู้ใบหนึ่งแล้วลากออกมา
หัวหน้าหลินมัวแต่ยุ่งจนหน้ามืดตามัว ประมาณว่าเขาคงคิดว่าเหล่าเจอกูหาที่ซ่อนตัวไว้ นึกไม่ถึงว่านางกับหยวนเจ๋อจะแบกเหล่าเจอกูออกมาอย่างเปิดเผย คนส่วนมากเห็นห่อของมหึมาบนบ่าของหยวนเจ๋อล้วนคิดว่าเป็นห่ออาหาร
เวลานั้นใครเล่าจะกล้าขวางมิให้ไต้ซือเมิ่งอี๋นำอาหารที่ ‘สวดส่งวิญญาณ’ แล้วจากไปด้วย
เหล่าเจอกูแอบมองชิวเยี่ยไป๋ ยิ้มอย่างประจบประแจงกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายสี่…ท่าน…ท่านจับข้าเหตุใด…ข้าน้อย…ข้าน้อยมิได้ผิดต่อท่านนี่นา ซูจิ่นต่างหากที่ล่วงเกินท่าน!”
ชิวเยี่ยไป๋โบกมือขัดคำ “ข้าจะถามเจ้า ซูจิ่นเป็นใครกันแน่ ค่ายโจรเล็กๆ เหตุใดจึงมียอดฝีมือมากมาย ค่ายฉงฉีของเจ้าเพิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วหลังเขาเข้าด้วยใช่ไหม”
นางถามตรงๆ ทำเอาเหล่าเจอกูเซ่ออยู่พักใหญ่ แล้วจึงตอบอย่างสัตย์จริงว่า “ซูจิ่นเป็นคนที่ข้าน้อยเก็บได้ขณะออกไปรับสินค้างวดหนึ่ง เขาบาดเจ็บสาหัส ทั้งครอบครัวถูกข้าราชการขี้ฉ้อฆ่ายกครัว…”
“ดังนั้นหลังเจ้าช่วยไว้เขาจึงสำนึกคุณและตอบแทนด้วยการช่วยเจ้าขยายอิทธิพลกระนั้นหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ขัดจังหวะอีกครั้ง แลดูเขาแล้วแค่นหัวร่อ “เหล่าเจอกู ถ้าข้าอยากฟังเรื่องเหลวไหลพวกนี้ คงไม่ต้องเอาตัวเจ้ามาแล้ว”
นางก้มหน้าลงใกล้กับใบหน้าเขา หรี่ตาเล็กน้อย “แม้เดิมทีข้าจะไม่อยากเอาชีวิตเจ้า แต่ถ้าข้าไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ข้าจะส่งเจ้าให้หัวหน้าหลินลองคิดดูสิ ค่ายของเจ้าก่อเรื่องนี้ขึ้นมา หัวหน้าหลินคงอยากได้คนเซ่นธงดำแน่ เพื่อให้คนอื่นได้เห็นเยี่ยงอย่างว่า คนที่กล้าทรยศต่อหัวหน้าหลินจะมีผลลัพธ์เช่นไร”
‘เซ่นธงดำ’ พอหลุดจากปาก เหล่าเจอกูก็หน้าถอดสี เหงื่อตกทั้งตัว
ที่เรียกว่า ‘เซ่นธงดำ’ หมายถึงเมื่อมีใครในเส้นทางสายอธรรมละเมิดหรือทรยศต่อหัวหน้า ถ้าตัวคนทรยศลากคอหัวหน้าลงจากม้าได้ก็แล้วกันไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ทั้งครอบครัวของคนทรยศรวมทั้งคนทรยศเองที่ถูกจับได้ จะถูกส่งขึ้นแท่นสังเวย ควักหัวใจตับไตให้ปลากิน เพื่อเป็นบทเรียนแก่ลูกน้องทุกคน
เมื่อก่อนเหล่าเจอกูทำงานในอู่ต่อเรือ ไม่มีใครยอมแต่งงานด้วยเพราะยากจน ต่อมาหลังจากได้เป็นสมาชิกผีน้ำแล้ว และยังเป็นถึงหัวหน้าค่ายก็ได้ทั้งเมียหลวงเมียน้อย และยังได้บุตรสาวอีกสองคน
พอฟังชิวเยี่ยไป๋ว่าเช่นนี้จึงเสียใจและตกใจจนขวัญกระเจิงนั่นนะสิ เรื่องเมื่อคืนเท่ากับเป็นการทรยศต่อหัวหน้าชัดๆ พอหลินชงลั่งว่างจากงานอื่นต้องหันมาเอาชีวิตตนแน่
เห็นเหล่าเจอกูสีหน้าซีดขาวสลับเขียว ชิวเยี่ยไป๋ก็กล่าวเนิบๆ ว่า “ถ้าเจ้ายอมพูดความจริง ข้าจะช่วยพูดกับหัวหน้าหลินให้ไว้ชีวิตเจ้ากับครอบครัว”
คำพูดของชิวเยี่ยไป๋ทำให้เหล่าเจอกูเกิดความหวัง เขาลังเลอยู่พักใหญ่ ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาสีหน้าสับสนก็ไม่รีบ เพียงพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
“เหล่าเจอกู เจ้ามีเวลาคิดแค่หนึ่งเค่อ ความอดทนของข้ามีจำกัด”
ดูเหมือนเหล่าเจอกูจะตัดสินใจครั้งใหญ่ เขามองดูชิวเยี่ยไป๋แล้วกล่าวว่า “คุณชายสี่ เรื่องที่ข้าจะพูดเกี่ยวพันในวงกว้างมาก ถ้า…ท่านจะช่วยชีวิตข้ากับครอบครัวจริงหรือ!”
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อ “เจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ ไม่เป็นไร”
ว่าแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินพลางสั่งโจวอวี่ “โจวอวี่ สั่งคนไปแจ้งต่อหัวหน้าหลิน”
โจวอวี่ผงกศีรษะรับคำ “ขอรับ”
เหล่าเจอกูหน้าซีดเผือด ฟุบตัวลงทันที กอดขาของชิวเยี่ยไป๋ไว้แน่น ร่ำไห้ขี้มูกโป่งร้องว่า “คุณชายสี่ คุณชายสี่ อย่า ข้าพูด ข้าจะพูด!”