เขาถูกบีบไว้ในอกของชิวเยี่ยไป๋ รู้สึกจนใจและดิ้นไม่หลุด ความรู้สึกอับจนเช่นนี้เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่เขาฝึกเหยี่ยวไห่ตงชิง กลับแทบจะถูกมันใช้กรงเล็บและปีกมหึมากดจนจนมุมและได้รับบาดเจ็บจากกรงเล็บของมัน
นึกไม่ถึงว่าวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมมิสนใจว่าจิตใจเหมยซูสับสนเพียงใด บีบคอหอยเหมยซูไว้แน่นเตรียมจะคว้าตัวโผล่พ้นผิวน้ำ ทว่า…
นางพบเรื่องประหลาด ไม่ว่านางจะว่ายอย่างไร ยังคงห่างจากผิวน้ำที่มีประกายแสงไกลออกไปทุกที!
การต่อสู้เมื่อครู่ทำเอาปอดของนางเหลืออากาศไม่มากแล้ว
ส่วนเหมยซูที่ถูกนางหนีบไว้ก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาพบน้ำวนขนาดใหญ่ก่อนชิวเยี่ยไป๋เสียอีก
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าไอ้คนที่ตนหนีบไว้จู่ๆ ก็ดิ้นรนสุดฤทธิ์ นางกำลังทุ่มแรงกับการว่ายไปข้างหน้าจึงมิได้คิดมาก เพียงรัดคอเขาแน่นขึ้นอย่างรำคาญ
แต่คนที่ตนหนีบไว้กลับดิ้นแรงขึ้น เรี่ยวแรงมหาศาลเหมือนคนบ้า
ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็รู้สึกว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเช่นกัน จึงหันกลับไปดูกระแสน้ำที่ลึกลงไป
ทันใดนั้นเองก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งก็ร่วงลงในน้ำ เฉียดใบหน้าชิวเยี่ยไป๋พอดี หมุนคว้างรอบหนึ่งแล้วหายไปในส่วนลึกของกระแสน้ำที่มืดมิด
ชิวเยี่ยไป๋หน้าเปลี่ยนสีทันที!
…กระแสใต้น้ำ!
แต่ความคิดนี้เพิ่งวาบขึ้นในสมอง นางพลันรู้สึกว่ามีพลังดูดขุมใหญ่พันใส่ร่างกาย ลากเอานางกับเหมยซูเข้าสู่ส่วนลึกที่สุดที่มืดมนอนธการ!
นางสะท้านใจ แย่แล้ว เมื่อครู่มัวแต่คำนึงถึงการจับตัวเหมยซู ไม่ทันสังเกตว่ากระแสน้ำผิดปกติ บัดนี้สังเกตพบแต่ก็สายเสียแล้ว พวกเขาถูกดูดเข้าสู่ศูนย์กลางที่มีพลังดูดรุนแรงที่สุด!
ต่อให้พลังฝีมือสูงล้ำเพียงใด ฝึกปรือกล้าแข็งเพียงใดย่อมสู้ธรรมชาติมิได้
หมดทางหนี!
แม้ทุกอย่างจะเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ แต่ความเคยชินกับวิธีคิดที่สุขุมเยือกเย็นและหาวิธีแก้ไขไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม ทำให้สมองของชิวเยี่ยไป๋หมุนจี๋และปล่อยเหมยซูจากการหนีบเสียเลย พลางเดินพลังตีใส่น้ำข้างล่าง หมายจะต้านความเร็วของแรงดูด พยายามหาวิธีหนีให้พ้นจากวิกฤต
แต่ทันใดนั้น แขนคู่หนึ่งก็รัดหว่างเอวของนาง อ้อมกอดที่ไม่คุ้นเคยทำเอาชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็ง ผลักมือใส่เหมยซูโดยไม่ต้องคิด
แต่พอพลังของมือคลายลง ชิวเยี่ยไป๋ก็รู้ว่า…จบสิ้นแล้ว!
และแล้วก็เป็นความจริง เมื่อสูญเสียแรงต้านขุมสุดท้าย พริบตาเดียวชิวเยี่ยไป๋กับเหมยซูก็ถูกดูดเข้ากลางน้ำวนพร้อมกัน
อากาศในปอดแทบจะหมดแล้ว แรงกดมหาศาลมาจากสี่ทิศแปดทางความเจ็บปวดที่ปอดแทบจะระเบิดทำเอาชิวเยี่ยไป๋ทนไม่ไหว จึงดิ้นรนตามสัญชาตญาณคิดจะถีบเหมยซูที่ลากตนไว้ แต่เหมยซูเหมือนคนที่คว้าฟางช่วยชีวิตได้ เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อยนาง
ทั้งสองดิ้นรนฟัดเหวี่ยงไปมา ชิวเยี่ยไป๋พลันรู้สึกว่าลำแขนของอีกฝ่ายลอดผ่านหว่างขาของนาง และกำลังโดนต้นขาที่ไวต่อความรู้สึกของนางพอดี
ชิวเยี่ยไป๋สยิวกายอีกครั้งตัวแข็งทื่อ แม้สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เลือนราง นางยังคงรู้สึกได้ว่าเหมยซูก็ตัวแข็งเช่นกัน จากนั้น…
เขาพลันลูบคลำหว่างขานางอย่างไม่เกรงใจหลายครั้ง แล้วเลิกกางเกงล้วงเข้าไป
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋โกรธจัด ทุ่มเรี่ยวแรงทั้งตัวถีบใส่ไหล่ของเหมยซู เหมยซูกำลังตั้งอกตั้งใจดึงสายรัดเอวของนางไม่ทันได้ป้องกันตัว จึงถูกถีบอย่างแรงจนกระเด็นไป เขายังไม่ทันตั้งสติก็ถูกถีบเข้าไปในกลางน้ำวนทันที
ชิวเยี่ยไป๋พยายามดิ้นรนหลายครั้ง แต่ในที่สุดยังคงต้านแรงน้ำมหาศาลมิได้และถูกดูดเข้าในน้ำวนอันมืดมิดอย่างมิยินยอม
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการขาดออกซิเจนและแรงกดมหาศาลของน้ำ ทำเอานางเกิดภาพหลอนพิสดารนับไม่ถ้วนในสมอง
ดูเหมือนนางจะเห็นหยวนเจ๋อยืนอยู่ริมน้ำ แต่พอเพ่งดูกลับพบอย่างน่าตกใจว่า เงาสะท้อนจากน้ำกลับเป็นม่านตางดงามพิกลของไป๋หลี่ชู
นางตกใจ และแล้วก็จมสู่ความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง
…
กระแสน้ำดำมืด เสียง จ๊อกแจ๊ก ดังที่ริมหู ประกายสีเงินระยิบระยับบนผิวน้ำมืดสนิท คล้ายแสงดาวห่างไกลในตาของใครบางคน
ร่างสีขาวที่นอนแน่นิ่งถูกน้ำซัดบนริมฝั่ง ขยับตัวเล็กน้อยจากนั้นยันกายช้าๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
‘หยวนเจ๋อ’ หรี่ตาเล็กน้อย แสงจันทร์ไม่สว่างนัก แต่ในสายตาเขาสว่างเหมือนกลางวันแล้ว ดังนั้นเพียงเขาเหลียวมองรอบๆ ก็รู้ว่าตนเองคงถูกซัดถึงริมน้ำรกร้างซึ่งมิรู้ว่าอยู่ที่ใดของตงอั้นแล้ว
บริเวณใกล้เคียงไม่มีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่หรือผู้โดยสาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าเรือ เห็นแต่เรือเล็กประปรายที่ผูกอยู่กับเสาในบริเวณนั้น
กลิ่นใบไม้ใบหญ้าในอากาศยิ่งเด่นชัดในยามค่ำคืน และกลิ่นหอมจางๆ ชนิดหนึ่งของน้ำก็ลอยละล่องในอากาศเช่นกัน
‘หยวนเจ๋อ’ หยีตาแล้วรีบลุกขึ้นทันที สำรวจร่างกายตนเอง นอกจากเสื้อผ้าซึ่งเดิมก็ขาดวิ่นอยู่แล้วยังถูกสายน้ำกระชากจนยับเยินกว่าเดิม แต่มิได้มีอาการบาดเจ็บใดๆ
เขาแลดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและเปียกโชกของตน ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าส่อแววกล้ำกลืนวูบหนึ่ง แล้วเดินตามกลิ่นหอมจางๆ นั้นทันที
กลิ่นหอมนั้นไม่ชัดเจนนัก เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย แต่เพียงพอแล้วสำหรับเขา
และแล้วเพียงเปลี่ยนทิศทางสองครั้ง เขาก็เห็นบางอย่างสีขาวหิมะที่สะดุดตาท่ามกลางดงหญ้าน้ำสีเขียวคล้ำ
‘หยวนเจ๋อ’ เม้มปาก ก้าวยาวๆ เข้าไปทันที โบกมือครั้งเดียวบรรดาหญ้าน้ำก็ถูกแหวกออกทันที เผยให้เห็นเงาร่างอ้อนแอ้น
มิใช่ชิวเยี่ยไป๋แล้วจะเป็นใคร!
เพียงแต่เงาร่างนั้นนอนแน่นิ่งในกอหญ้าไร้แววของความมีชีวิตแม้แต่น้อย พริบตานั้นดวงตา ‘หยวนเจ๋อ’ ฉายแววลนลานวูบหนึ่งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึก รีบก้มลงอุ้มคนในกอหญ้าแล้ววางลงข้างๆ
เขามองซ้ายมองขวา บังเอิญเห็นเรือหาปลาลำน้อยที่ผุพังลำหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จึงสะกิดปลายเท้าอุ้มคนในอ้อมแขนกระโดดลงเรือ เขาลากเสื้อฟางกันฝนแล้ววางคนในอ้อมแขนลงบนพื้นเรืออย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของคนในอ้อมแขนปราศจากสีเลือด ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงท่าทางที่อ่อนแอทำเอา ‘หยวนเจ๋อ’ จิตใจหนักอึ้ง ยื่นมือรอที่จมูกนาง ก็ยังไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจ เขารีบกำกำปั้นข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งทาบไว้ที่อกนาง แล้วใช้กำปั้นทุบใส่หลังมือที่วางบนอก
ทุบอยู่สามครั้ง ร่างที่เดิมทีปราศจากการเคลื่อนไหวพลันสั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็อ้วกเอาน้ำออกมาหลายคำและไอโขลกเป็นบ้าเป็นหลัง
มุมปาก ‘หยวนเจ๋อ’ ยกขึ้น รีบประคองชิวเยี่ยไป๋ลุกขึ้น ให้ส่วนอกถึงท้องของนางพาดกับเข่าของตนที่งอไว้ แล้วตบหลังนางอีกหลายครั้ง เห็นนางอาเจียนน้ำออกมาไม่น้อย และตัวสั่นอย่างรุนแรง เขาจึงพยุงหลังนางและถ่ายทอดกำลังภายในขุมหนึ่งเข้าสู่ตัวนาง
และแล้วร่างในอ้อมกอดก็หยุดเกร็งอย่างรวดเร็ว แต่ลมหายใจยังคงอ่อนมาก เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย
‘หยวนเจ๋อ’ นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินคนข้างกายบอกเล่าวิธีปฐมพยาบาลคนจมน้ำ เขาจึงทาบริมฝีปากประกบร่างในอ้อมกอดโดยตรง
Related