ถ้าเช่นนั้นวันนี้เจ้าหมอนี่ดื่มมากเกินไป ก็เลยบ้าขึ้นมา?
หรือว่าแค่ประสาทสับสน
กับเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ นางย่อมคร้านจะเดา จึงหันกายเดินต่อท่ามกลางแสงจันทร์และเสียงเพลง ชายเสื้อพลิ้วไหวตามลมราตรี
ผ่านไปเนิ่นนาน เงาจันทร์บนฟ้าคล้อยต่ำ คนงามที่ขับขานใต้แสงจันทร์พลันหยุดดีดผีผา เอ่ยเสียงเกียจคร้านว่า “อีไป๋”
เงาร่างสูงโปร่งชุดขาวเสื้อคลุมดำเข้ามายืนนิ่งข้างหลังเขาอย่างไร้สุ้มเสียง เอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท”
ไป๋หลี่ชูหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าดีดผีผาจนเหนื่อย หรือว่าอ่อนล้า เอ่ยเสียงเนือยว่า “ดีดผีผาใต้แสงจันทร์ รำพันเพลงรัก สามารถทำให้คนงามคลั่งไคล้ โผเข้าอ้อมกอด หืม?”
อีไป๋ในชุดปักลายเมฆาสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะลมราตรีหนาวเหน็บหรือเพราะสาเหตุอื่น แต่เขาก้มศีรษะต่ำ ตอบด้วยน้ำเสียงนบนอบ “ทูลฝ่าบาท เสียงขับขานของพระองค์ไพเราะเสนาะหู เสียงผีผาโดดเด่นไร้ใดเทียม แต่คงเหมือนดีดพิณให้ควายฟัง บางที นายน้อยสี่สกุลชิวอาจเป็นผู้ไม่รู้ดนตรีกาล!”
“จริงหรือ” ไป๋หลี่ชูกรีดนิ้วดีดสายผีผาเบาๆ ทีหนึ่ง เกิดเสียงแหลมเย็นยะเยือก
อีไป๋ลังเล ศีรษะยิ่งก้มต่ำ น้ำเสียงนบนอบถึงที่สุด เอ่ยด้วยถ้อยคำสละสลวยว่า “เสียงผีผาและการขับขานของฝ่าบาทเหมาะกับสิ่งหนึ่ง”
“หืม?”
“กวักวิญญาณ”
“…กวักวิญญาณคืออย่างไร”
“นะโม พระโพธิสัตว์กวนอิน เทพสูงสุดซานชิง[1] นำทางฟ้าดินศักดิ์สิทธิ์ ผีร้ายหลบหลีกสี่ทิศ ไอ้เด็กสุนัข วิญญาณไอ้เด็กสุนัข จงอย่าได้หลงทาง เด็กสุนัข ไอ้เด็กสุนัขรีบกลับมา”
“…”
“ดีมาก”
เสียงผีผาใต้แสงจันทร์ในค่ำวันต่อมา พอดีเป็นช่วงเทศกาลฤดูคิมหันต์ที่ครึกครื้น ละเว้นคำสั่งห้ามออกจากเคหสถานยามวิกาลสามวันสามคืน พ่อค้าต่างถิ่นนำสินค้ามาขายในช่วงเทศกาลตลอดสามวันสามคืน เมื่อถึงเที่ยงคืนวันที่สามจึงเก็บแผง พวกเขาเห็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งทว่ากำลังร่ำไห้…บุรุษใบหน้าหม่นเศร้าน่าสงสารอุ้มผีผาเดินไปทั่วเมือง พลางจูงสุนัขพันทางตัวน้อยมาด้วย ร้องลำนำกวักวิญญาณไปตลอดทาง…
“เด็กสุนัข เด็กสุนัขรีบกลับมา…โอโอ่ โอละเห่…”
โฮ่ง…โฮ่ง โฮ่ง…!
“เด็กสุนัข เด็กสุนัขรีบกลับมา…โอโอ่ โอละเห่…”
โฮ่ง…โฮ่ง โฮ่ง…
“โอ่…โอละเห่”
ทุกครั้งที่เขาร้อง สุนัขที่จูงมาก็เห่ารับ
ผู้คนเห็นแล้วไม่เข้าใจ บุรุษผู้นี้กวักวิญญาณเด็กหรือว่ากวักวิญญาณสุนัขกันแน่ จากนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาครึกโครมในหมู่พ่อค้าแผงลอยในนครหลวง
ส่วนบุรุษผู้นั้นพอเจอะใครก็ยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า สองไหล่สั่นเทา ไม่รู้ว่าร่ำไห้หรือ…อับอาย ร้องไปๆ สุดท้ายร้องจนเหมือนพ่อไก่ถูกบีบคอ น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความคับแค้นใจ
สรุปแล้วทำให้คนฟังแล้วเศร้าสลดจนน้ำตาอาบหน้า
ทำเอาพวกพ่อค้าพากันทอดถอนใจ เฮ้อ เสียลูกไปตั้งแต่ยังหนุ่มหรือว่าเสียสุนัขไปล่ะเนี่ย น่าสงสารจริงๆ
…
กล่าวถึงชิวเยี่ยไป๋ วันนั้นหลังจากเดินทอดน่องใต้แสงจันทร์จนถึงจวน พออาบน้ำแล้วก็นอนหลับสบาย ย่อมไม่รู้ว่าต่อมาอีกหลายวันมีคนเคราะห์ร้ายกำลังร้องลำนำกวักวิญญาณ
นางเป็นคนฉลาด ในเมื่อไป๋หลี่ชูเจตนาให้นางเข้าใจเหตุการณ์ในงานเลี้ยงรับวสันต์ ทั้งยังบอกให้นางใส่ใจกับอนาคตตนเอง นางจึงไม่ต้องใส่ใจเรื่ององค์ชายสามมากนัก คนอย่างไป๋หลี่ชูแม้จิตใจจะลึกล้ำสุดหยั่ง พฤติกรรมก็ประหลาดพิกล แต่ก็มีความทะนงในฐานะราชนิกุลผู้สูงศักดิ์และกุมอำนาจเด็ดขาด ย่อมรังเกียจที่จะเล่นลูกไม้ในเรื่องเช่นนี้
แม้นางจะรู้ว่าการที่เขาดูแลนางย่อมมีจุดประสงค์ ทั้งย่อมมิใช่เพราะมีใจเมตตา แต่เวลานี้ยังไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมรอบข้าง ถึงอย่างไรเหตุการณ์ในวันนั้นก็พัวพันกินวงกว้าง นางไม่มีเจตนาจะข้องเกี่ยวกับการห้ำหั่นระหว่างเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อย
สิ่งที่นางต้องจัดการในเวลานี้คือเรื่องยุ่งยากรอบตัว
…
ในห้องโถงหออวี้เฟิง จวนสกุลชิว
“เฮอะ น้องสี่ช่างสำคัญตนดีนัก สองวันก่อนพี่ใหญ่ไปเชิญเจ้ายังไม่ได้พบ คราวนี้ยังมาสายอีก!” ชิวเฟิ่งฉูนั่งอยู่ในห้องโถง มือประคองถ้วยชา มองชิวเยี่ยไป๋ในชุดไผ่เขียวค่อยๆ เดินเยื้องย่างเข้ามา เห็นใบหน้างามสง่าดุจหยกก็อดริษยาไม่ได้
ชิวเยี่ยไป๋กวาดตามองรอบห้อง ในโถงมีคนไม่มาก บิดาไร้ประโยชน์ของตนไปรับราชการต่างเมืองสองปีแล้ว ที่นั่งประมุขย่อมเป็นของชิวเฟิ่งหลานผู้มีบุคลิกสงบนิ่งมั่นคง เก้าอี้ด้านซ้ายขวามีชิวซั่นหยวนกับชิวเฟิ่งฉูนั่งอยู่
ส่วนน้องห้าชิวเฟิ่งเทียน ได้ยินว่าไปเยี่ยมตู้เหล่าไท่จวิน[2]ซึ่งล้มป่วยเมื่อหลายวันก่อน เวลานี้จึงไม่ได้อยู่ในจวน
ดูสภาพการณ์แล้วออกจะเหมือนการพิจารณาคดีโดยสามตุลาการอย่างไรอย่างนั้น
แม้ชิวซั่นหยวนจะยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่ในฐานะบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ประกอบกับสังคมของจักรวรรดิเทียนจี๋เปิดกว้าง จึงมีคุณสมบัติที่จะนั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย สีหน้าของนางเฉยเมยไร้อารมณ์ อายุเพียงเท่านี้กลับมีความหนักแน่นเช่นเดียวกับชิวเฟิ่งหลาน
ชิวเฟิ่งฉูเองเสียอีกที่เริ่มนั่งไม่ติด โยนถ้วยชาดังเพล้ง แค่นหัวเราะกล่าวว่า “โอ้โฮ น้องสี่ พอได้เป็นขุนน้ำขุนนางเข้าหน่อยก็เปลี่ยนไปเลย คงไม่อยากเสวนากับพวกเราที่เป็นคนว่างงานล่ะสิ แต่อย่าลืมเล่าว่าเจ้าก็แค่ขุนนางขั้นสี่ ยังไม่ต้องพูดถึงขุนนางในเมืองหลวง แค่ในหน่วยซือหลี่เจี้ยนเจ้าก็เป็นเพียงคนไร้บารมีคนหนึ่ง ในห้องนี้ยังมีพี่ใหญ่ เจ้ายังกล้าโอหังอีกหรือ”
ขุนนางขั้นสี่ ว่าไปแล้วหากอยู่ต่างมณฑลต่างอำเภอก็ไม่นับว่าต่ำ เพราะนายอำเภอก็แค่ขุนนางขั้นห้า แต่ในเมืองหลวงขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นระดับสูงสุดนั้นมีไม่น้อย โยนรองเท้าสักข้างไปบนถนนจูเชวี่ย ยังอาจโดนศีรษะขุนนางขั้นสองด้วยซ้ำ สำมะหาอะไรกับขั้นสี่
กลับกัน ผู้บัญชาการทหารที่ถูกส่งไปประจำการต่างเมือง เพียงแค่เป็นขุนนางขั้นสามก็เป็นผู้นำทัพได้แล้ว แม่ทัพประจำการต่างเมืองไม่จำเป็นต้องรับบัญชาจักรพรรดิ แม้มิใช่ตำแหน่งใหญ่โตของผู้รักษาชายแดน แต่ก็มิใช่จะเอาขุนนางในเมืองหลวงมาเปรียบได้
สำหรับผู้ที่กระด้างกระเดื่องไม่ฟังคำสั่งแล้ว หากเป็นค่ายทหารคงต้องโดนโบยก่อนสักยกแล้วค่อยว่ากัน
ชิวเฟิ่งฉูหัวเราะหยันในใจ หลายวันนี้เขาเพียรยุยงยามอยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่มาไม่น้อย เห็นชิวเยี่ยไป๋พิรี้พิไรมาช้า ก็คิดว่าจะต้องถูกพี่ใหญ่ชำระความเป็นแน่
ชิวเยี่ยไป๋ไม่สนใจคำยุยงของชิวเฟิ่งฉู ประสานมือคารวะชิวเฟิ่งหลาน “ขออภัยพี่ใหญ่!”
นางมิได้แก้ตัว ทว่าใบหน้าที่เดิมเคร่งขรึมเย็นชาของชิวเฟิ่งหลานกลับผ่อนคลายลง เขาพยักหน้ามิได้ถือสา เพียงกล่าวว่า “น้องสี่ นั่งเถิด”
ชิวเฟิ่งฉูออกจะงงงันที่พี่ใหญ่มิได้เอาความที่ชิวเยี่ยไป๋มาสาย ในใจไม่อาจยอมรับ ความไม่พอใจฉายชัดในแววตา กระนั้นก็รู้ดีว่าในตระกูลชิว พี่ใหญ่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ถมึงมองชิวเยี่ยไป๋ซึ่งนั่งลงอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาไม่เข้าใจ แต่ชิวเยี่ยไป๋เข้าใจดี ขุนนางฝ่ายทหารที่ประจำการต่างเมืองย่อมคุ้นเคยกับความลำบากชายแดน จึงมีนิสัยตรงไปตรงมา ทั้งยิ่งไม่ชอบการเล่นเล่ห์หักเหลี่ยมของขุนนางในเมืองหลวง มีสิ่งใดก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นท่าทีของตนแม้จะดูทื่อๆ หยาบคาย แต่ก็เปิดเผย ชิวเฟิ่งหลานจึงมิได้ถือสาแต่อย่างใด
ชิวเฟิ่งหลานมองชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตานิ่งสงบล้ำลึก แล้วเอ่ยถามตรงประเด็นว่า “น้องสี่ เจ้าพักมาสองวันแล้ว ไยวันนี้จึงมาสาย”
นางเห็นแววตาเคร่งขรึมเย็นเยียบของชิวเฟิ่งหลานที่จ้องมา แล้วก็ตอบตามตรงว่า “เรียนพี่ใหญ่ มิใช่ข้าจงใจมาสาย ข้ากลับจวนเมื่อคืนก็ดึกมากแล้ว ทั้งไม่มีใครแจ้งข้าว่าวันนี้พี่ใหญ่จะพบข้าที่ห้องโถงนี่ เช้าวันนี้เพิ่งจะมีคนรับใช้มาแจ้ง”
“เฮอะ แก้ตัว!” ชิวเฟิ่งหลานยังไม่ทันเอ่ยปาก ชิวเฟิ่งฉูก็ทนไม่ได้เอ่ยเหน็บว่า “ได้ยินว่าสองวันก่อนพี่ใหญ่เรียกตัวเจ้ามาพบแล้ว แต่เจ้าอ้างว่าไม่สบาย แล้วอย่างไร ไม่สบายยังออกไปมั่วผู้หญิงดึกๆ ดื่น?”
——
[1] เทพสูงสุดของลัทธิเต๋า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุน หลิงเป่าเทียนจุน และเต้าเต๋อเทียนจุน
[2] ‘เหล่าไท่จวิน’ เป็นคำเรียก ประมุขหญิงอาวุโสของตระกูล