เจิ้งหยางแลดูใบหน้าขาวซีดไร้ความรู้สึกเหล่านั้น แทบจะสงสัยว่าที่ตนเห็นนั้นเป็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในทุ่งร้าง เย็นเยือกน่าพรั่นพรึง
องครักษ์ข้างกายคนหนึ่งท่าทางพิกลกระซิบว่า “ท่านองครักษ์ใหญ่ ท่านดูสิ พวกนี้…จะเป็น…ของพวกนั้น…ไหม ถ้าใช่…ทางที่ดีพวกเราเปลี่ยนเส้นทางจะดีกว่า”
เจิ้งหยางลังเลเล็กน้อย แต่เสียง กรุ้งกริ๊ง เบาๆ กังวานทำเอาเขาหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา สายตาแวววาวจ้องมองปลายแขนเสื้อของเงาร่างสีขาวเหล่านั้น คล้ายประกายวิบวับเล็กน้อยทำเอาเขาใจเต้น พลันยกมือ “เตรียมเกาทัณฑ์!”
แม้องครักษ์ข้างกายเขาจะมิรู้เจตนา แต่พวกเขาฝึกปรือมาอย่างดีจึงพากันชูเกาทัณฑ์สั้นในมือ
“ท่านองครักษ์ใหญ่เจิ้งหยาง…” องครักษ์คนนั้นเอียงเข้าหาอย่างแปลกใจ
เจิ้งหยางแค่นเสียง “ระวังแขนเสื้อพวกมัน พวกมันมิใช่ผี เป็นคนและ…”
เขาหยุดลง ชักดาบยาวชี้ไปที่เงาร่างสีขาวตวาดลั่น “เป็นศัตรู!”
แม้เขาจะมิรู้ว่าทำไมจู่ๆ ในถิ่นไหวหนานของตนจึงมีคนลักษณะพิกลปรากฏขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าผู้มาย่อมไร้เจตนาดี ถ้ามีเจตนาดีย่อมไม่มา!
ลมแม่น้ำเย็นราวน้ำแข็งโชยมาวูบหนึ่ง เมฆดำบนท้องฟ้าถูกพัดกระจาย แสงจันทร์เย็นเยียบสาดส่อง บรรดาคนตระกูลเหมยและทหารทางการที่ตามหลังพวกเขาจึงเห็นอย่างถนัดตาว่า ใต้ชายแขนเสื้อหลวมกว้างของเงาร่างพวกนั้น ล้วนมีดาบโค้งลักษณะประหลาดเล่มหนึ่ง เพียงแต่ตัวดาบเองเป็นสีดำ ดังนั้นถ้ามิได้ตั้งใจเพ่งมองก็ยากจะสังเกตพบในความมืด!
“พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าเป็นอริกับตระกูลเหมย!” เจิ้งหยางตวาด เขาสงสัยอย่างยิ่งว่า ทำไมจึงมีพวกคนประหลาดปรากฏที่นี่
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งขยับตัว ก้าวช้าๆ ไปข้างหน้าหลายก้าว เงยหน้าเล็กน้อย ใต้หมวกสีขาวเป็นใบหน้าที่งดงามแต่เย็นชาจนน่าตกใจ เขายิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ค่งเฮ่อเจียน”
ค่งเฮ่อเจียน?
เจิ้งหยางงงงันยังไม่ทันตั้งสติ แต่นาทีต่อมา องครักษ์ข้างกายก็สูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ “ค่งเฮ่อเจียน นั่นมิใช่…”
เจิ้งหยางหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา แล้วกล่าวด้วยท่าทางสุดจะหยั่งว่า “หากพวกเจ้าเป็นคนของ
ค่งเฮ่อเจียน พวกเราก็เป็นคนของซือหลี่เจียน อย่าว่าแต่ค่งเฮ่อเจียนยังเป็นองครักษ์ส่วนตัวของฝ่าบาท
เซ่อกั๋วด้วย จะมายุ่งเกี่ยวกับกิจของท้องถิ่นได้อย่างไร ไม่กลัวว่าข่าวแพร่ออกไปจะโดนปลดหรือ!”
แม้คำพูดจะส่อแววไม่เชื่อ แต่ในใจก็เชื่อไปแล้วแปดเก้าส่วน
บุรุษรูปงามชุดขาวแลดูเขา หัวร่อเบาๆ “ไม่แพร่ออกไปหรอก”
คำพูดสั้นกระชับความหมายชัดเจน แต่เจิ้งหยางอดสะดุ้งในใจมิได้ ดวงตาฉายแววเกรี้ยวกราดวูบหนึ่ง เกาทัณฑ์สั้นในมือยิงศรใส่คนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าทันทีอย่างไม่ลังเล แต่อีกฝ่ายตวัดมือ ศรดอกนั้นก็ถูกแส้งูม้วนหักทันที
ในเวลาเดียวกันคนชุดขาวทุกคนพลันยกมือ ดาบโค้งลักษณะเหมือนข้อกระดูกสีดำพลันขึ้นสู่อากาศ เจิ้งหยางกับพวกเพียงเห็นดาบพวกนั้นกระแทกกันกลางอากาศ แล้วเสียงหวีดหวิวแหลมคมก็ดังไปทั่วในพริบตา
ราวกับเสียงเพรียกจากเทพแห่งความตาย นำพาจิตสังหารปกคลุมลงมาจนทั่ว ม้วนเข้าใส่กลุ่มคนที่ชูคบเพลิงราวเถาวัลย์ยักษ์
คนตาย…
ย่อมไม่มีวันแพร่งพรายความลับใดๆ ตลอดกาล
…
อากาศฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมจรุงใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังทอดกายท่ามกลางทะเลบุปผา และคล้ายแช่ตัวในธารน้ำอุ่น กลิ่นหอมเย้ายวนนั้นดูเหมือนจะมีสรรพคุณพิเศษ ทำให้มือเท้าที่แข็งชาค่อยๆ อบอุ่นทั่วสรรพางค์กาย
ที่ท้องน้อยคล้ายมีเชื้อไฟเล็กๆ ให้ความอบอุ่น ความหนาวเย็นเจ็บปวดที่คั่งอยู่คล้ายค่อยๆ สลายอย่างช้าๆ
ชิวเยี่ยไป๋สบายตัวจนอดหลับตาและครางเบาๆ มิได้ ขดตัวตามสัญชาตญาณคิดจะกอดไออุ่นนั้น
“อืม…”
แต่นาทีต่อมานางพลันอิงแอบกับที่ที่เย็นเยียบ เดิมทีเป็นอากาศเดือนเจ็ดที่ร้อนเหมือนไฟ ความเย็นนี้น่าจะทำให้นางรู้สึกสบาย แต่ยามนี้สำหรับชิวเยี่ยไป๋แล้ว กลับทำให้นางสยิวกายและหลบความเย็นนี้ตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกคนกดไว้
ชิวเยี่ยไป๋สยิวกาย พลันได้สติจากอาการมึนงงในพริบตา ขนตาสั่นระริกแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ
สิ่งแรกที่เห็นคือแพรต่วนสีดำ ผ้าม่านนุ่มนิ่มเป็นประกายงดงามราวกับธารน้ำยามราตรี จากนั้นก็เป็นบุปผาสีแดงฝั่งโน้นที่กำลังเบ่งบาน กลีบดอกที่ปักอย่างประณีตงามจนพิสดาร
เหมือน…
เจ้าของของมัน
ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตาขึ้นช้าๆ สบกับดวงตาคู่หนึ่งที่งดงามและดำสนิทดุจราตรียามดึกเข้าพอดี ใต้ขนตาหนานุ่มยาวงอน ม่านตาดำดวงโตไร้แววแม้แต่น้อย ราวกับความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต ไม่มีอารมณ์ใดๆ ของมนุษย์ แต่ใต้หางตามีไฝน้ำตาเม็ดหนึ่ง แดงฉานงดงามจนเหมือนเพลิงปีศาจ ขับให้ใบหน้างดงามนั้นสว่างขึ้น
เขากำลังจ้องมองนางเงียบๆ เห็นนางลืมตาขึ้นก็ยิ้มน้อยๆ “ตื่นแล้วหรือ”
คนงามเอย ช่างสะท้านจิตใจแลวิญญาณผู้คนจริงเชียว
ชิวเยี่ยไป๋หายใจติดขัดเล็กน้อย นางตะลึงมองอยู่ค่อนวันจึงส่งเสียงเบาๆ เหมือนทดสอบว่า “ไป๋หลี่…ชู ฝ่าบาทชูหรือ”
ไป๋หลี่ชูงอแขนลงบนหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน เท้าแก้มไว้กับข้อมือคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มแลดูคนข้างกายที่ยังสะลึมสะลืออยู่ “เสี่ยวไป๋ ไม่พบกันเสียนาน ข้าเข้าใจสีหน้าเจ้าดี เจ้าเห็นข้าก็ดีใจมาก เพียงแต่สงสัยว่าฝันไปใช่ไหม”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาพักใหญ่จนแน่ใจแล้วว่าตนเองมิได้ฝันไป ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “นั่นนะสิ คิดว่าฝันร้ายเสียอีก”
จนใจที่เป็นฝันร้ายมิรู้ตื่น!
ไป๋หลี่ชูยิ้มที่มุมปาก “เป็นดั่งที่ข้าคิดไว้จริงๆ เสี่ยวไป๋ยังคงปากคอเราะรายนะ”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาแล้วแสยะยิ้ม “ในเมื่อต่างก็เกลียดกันอยู่แล้ว ไยฝ่าบาทจึงแส่หาเรื่องเองเล่า”
ไป๋หลี่ชูก้มหน้าลงเล็กน้อยมองจากที่สูงกว่าดูคนที่อยู่ใต้ตน เห็นนางค้อนควักท่าทางเหมือนโกรธขึ้งซึ่งเป็นความน่ารักอีกแบบที่เจ้าตัวมิรู้สึก
เขาหรี่ตา น้ำเสียงยิ่งนุ่มนวลมีมนตร์เสน่ห์ “เสี่ยวไป๋ พักนี้ไม่เจอกัน เจ้าเลยน้อยใจที่ข้าเย็นชาต่อเจ้า ปล่อยให้เจ้าเปล่าเปลี่ยวว้าเหว่กระนั้นหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋จึงเพิ่งรู้ตัวว่า คำพูดที่พูดไปเมื่อครู่ฟังแล้วเหมือนมีนัยพิกล คล้ายกำลังตัดพ้อคนรักที่ไม่ได้พบกันนาน พริบตานั้นนางพลันตัวแข็งและพบว่าตนเองไม่เพียงไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น สมองที่เพิ่งกลับคืนมาก็ดูเหมือนจะเชื่องช้าและมึนงง จะไปรับมือเจ้าจิตวิปริตคนนี้ได้อย่างไร
นางจึงพาลหลับตาเสียเลย หันกายไปไม่สนใจเขาอีก
ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ไม่ปากคอจัดจ้านเหมือนยามปกติ จึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป หรือว่าเสียเลือดมากเลยไม่สบาย ข้าสั่งให้คนไปต้มยาบำรุงเลือดซื่ออู้ทังให้แล้ว เจ้ารอกินยาก่อนค่อยนอนนะ”