ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วสะท้านในใจ
เสียเลือดมาก
ใช่แล้ว นางพาเหล่าเจอกูไปถึงท่าเรือ ทนความรู้สึกไม่สบายไม่ไหวจึงตกจากหลังม้า คนที่รับตนไว้เป็นหยวนเจ๋อชัดๆ แล้วทำไมถึงตกอยู่ในมือเขาได้!
นางถึงกับนึกถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างช้าๆ ในยามนี้ และตระหนักดีว่าการที่ตนเองมาอยู่ที่นี่ได้มิใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือความลับของนางถูกเปิดเผยแล้ว และเมื่อครู่ที่นางต่อปากต่อคำกับเขา ทำเอายิ่งแย่ไปใหญ่!
ชิวเยี่ยไป๋ใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้วอย่างอดมิได้ บอกตนเองว่าต้องเป็นเพราะเจ้าไป๋หลี่ชูมีผลกระทบต่อจิตใจของนางแน่ พอเห็นเข้าจึงสูญเสียความเฉียบไวของยามปกติ จะต้องใช้พลังทุกขุมรับมือเขาแล้ว
และคำพูดของเขายิ่งทำให้นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความลับที่ถูกคนที่สองรู้เข้าก็มิใช่ความลับอีกต่อไป
แต่อาจเพราะ ‘ความลับ’ ของนางไม่ลับอีกต่อไป ดังนั้นต่อให้ราชนิกุลเช่นไป๋หลี่ชูล่วงรู้ ‘ความลับ’ นี้ ในใจนางกลับมิได้หวาดหวั่นอย่างที่คิด กลับกลายเป็นความสงบที่อ่อนล้าหลังวางความสงสัยและความระแวดระวังนับไม่ถ้วนลง
ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง พลิกตัวนอนราบแลดูคนข้างกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฝ่าบาทรู้แล้วหรือ”
ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางเหมือนไม่มีอะไรของนางก็เม้นปากกล่าวว่า “รู้อะไรหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาอย่างเย็นชา กล่าวประชดว่า “เดิมทีคิดว่าฝ่าบาทฝีปากดี นึกไม่ถึงว่ายังชอบเล่นทายปริศนาด้วย”
เขาพูดถึงกระทั่งยาซื่ออู้ทังที่สตรีใช้กินให้มดลูกอบอุ่นและบำรุงเลือดลม นางจะโกหกตนเองว่าเขายังมิรู้ได้อย่างไร
ไป๋หลี่ชูคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มแลดูนางกล่าวว่า “อ้อ อย่างนั้นหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาแล้วเย็นเยือกในใจ แม้จะมิรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเช่นไร แต่เห็นได้ชัดว่าคิดจะบังคับให้นางพูดออกมาเอง!
นางพลิกตะแคงข้าง ไม่อยากต่อปากต่อคำอีกแล้ว เพียงหันหลังให้กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ฝ่าบาทมิรู้ว่าข้าเป็นสตรีจริงหรือ ถ้าอย่างนั้นบัดนี้ท่านก็รู้แล้ว”
พูดจบนางพยายามจะชันกายที่อ่อนล้าลุกขึ้นนั่ง แต่กลับถูกคนกดไว้อย่างแรง และแล้วนางก็ตกสู่อ้อมกอดกว้างที่หนาวเย็น
ชิวเยี่ยไป๋สยิวกายอย่างอดมิได้ แล้วพลันก้มหน้าลงมองดูส่วนท้องของตนเอง
ไออุ่นค่อนข้างร้อนเข้าสู่ท้องน้อยอย่างไม่ขาดสาย ตรงข้ามกับอ้อมกอดเย็นเยือกที่หลังนางอิงอยู่เหมือนน้ำแข็งกับไฟ
ท้องน้อยเป็นส่วนที่ไม่มีกระดูกคอยปกป้อง เป็นจุดที่บอบบางที่สุดของร่างกาย และเป็นจุดตายเช่นเดียวกับคอหอยสำหรับคนฝึกวิทยายุทธ์ และเขาที่สวมถุงมือชนิดพิเศษมาชั่วนาตาปี ปลายนิ้วจึงนุ่มเนียน ซึ่งความนุ่มกับเนียนไม่เหมือนกัน ปลายนิ้วของเขาจี้ที่จุดไวต่อความรู้สึกของนางอย่างแรง ปล่อยไอร้อนที่อันตรายทำเอานางตัวสั่นน้อยๆ
ชิวเยี่ยไป๋เอื้อมมือไปจับมือที่วางตรงที่ท้องน้อยทั้งที่คั่นด้วยเสื้อผ้า พยายามจะดึงมือเขาออก แต่เห็นได้ชัดว่านางเรี่ยวแรงไม่พอ
ความรู้สึกนั้นพิสดารมาก มือของตนเองสัมผัสไม่ถูกร่างกายของตนเอง และได้แต่จับมืออันตรายนั้นผ่านเสื้อผ้าของตนอย่างหมดหนทาง ความรู้สึกใกล้ชิดอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ ทำเอาชิวเยี่ยไป๋มึนงงและไร้เรี่ยวแรง
นางอดมิได้ กัดริมฝีปากกล่าวว่า “ท่าน…ปล่อยมือ…”
น้ำเสียงสั่นเครือ ฟังแล้วเหมือนกล้ำกลืนอย่างหมดปัญญา
การได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งกร้าวเปราะบางลงในพริบตา ทำเอาความรู้สึกสงสารพลันเปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน คิดอยากจะดูท่าทางที่เปราะบางหมดหนทางยิ่งกว่านี้
แววตาของไป๋หลี่ชูหม่นลง ขบติ่งหูนางกระซิบเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลชั่วร้ายพิกล “เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ ห้ามใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับข้า น้ำเสียงเช่นนี้ทำให้ข้าอยาก…กินเจ้า”
ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็งไม่กล้าขยับ นางหลับตา ครู่หนึ่งจึงกลับสู่ความเยือกเย็น แต่มือยังคงจับหลังมือเขาแน่น
“ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”
จะฆ่าจะแกงก็น่าจะบอกสักคำ
แต่หลังนางมิมีเสียงอยู่เนิ่นนาน คนที่อยู่ด้านหลังราวกับไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร เพียงแต่ใช้มือข้างหนึ่งไล้ไปมาตามแก้มของนางอย่างเกียจคร้าน
ดูเหมือนกำลังคิดเรื่องสำคัญ
ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่ส่งเสียง ปล่อยให้เขารัดนางไว้ในอ้อมอก แม้สถานการณ์เช่นนี้เหมือนตกอยู่ในกำมือเขา จึงจำต้องเจียมตัวซึ่งฝืนใจมาก โดยเฉพาะมืออสูรข้างหนึ่งกดคุกคามที่จุดไวต่อความรู้สึกของนาง แต่ถ้านางลนลานแข็งขืน กลับจะตกสู่สถานการณ์ของการถูกกระทำมากกว่านี้
ทว่า สภาพเช่นนี้นางรู้สึกยากจะทนทาน
แม้คนในอ้อมกอดจะอิงแอบอย่างสงบราวกับแมวน้อยแสนเชื่องปล่อยให้คนลูบคลำเล่น แต่ไป๋หลี่ชูยังคงรับรู้ได้ว่า ร่างนี้จากในสู่นอกล้วนเป็นกลิ่นอายของความเย็นเยียบ
แต่เขาชอบดูสภาพที่นางทรมานและไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ จึงจงใจเบียดชิดนางมากกว่าเดิม กระซิบคำหวานเหมือนคนรักว่า “เสี่ยวไป๋คนดี เจ้าอยากตายหรือ หรืออยากเป็นคณิกาหลวงมากกว่าถูกประหารทั้งโคตร!”
ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเสียงเกรี้ยวกราดคู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเนือยๆ ว่า “ไม่เอา”
แม้เขาจะไม่เห็นสีหน้าตนเอง แต่ก็นึกออกว่านางต้องกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดวงตาฉายแววฆ่าฟันแน่
“อืม อย่างนั้นก็ยากแล้ว” ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ ราวกับชักปวดศีรษะและจนปัญญา
ชิวเยี่ยไป๋แววตาวิบวับ ลอบแค่นเสียงในใจ ฆ่าเจ้าทิ้งก็ไม่ยากแล้ว เจ้าอยากตายไหม ฝ่าบาทองค์หญิง
นางไม่โง่ กระจ่างแก่ใจว่าคนที่กอดตนอยู่เป็นคนงามจิตวิปริตที่ชอบทรมานคนเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายเหนือกว่า ต่อให้รู้อยู่แก่ใจยังคงต้องกล้ำกลืนเป็นการชั่วคราว ไว้ค่อยแก้แค้นทีหลัง
“แล้วฝ่าบาทคิดว่าทำอย่างไรดี” นางพูดเหมือนว่านอนสอนง่ายแต่ความจริงประชด
เห็นใบหน้าด้านข้างที่กล้ำกลืนของคนในอ้อมกอด เขาออกจะทำใจไม่ได้ จึงก้มลงกระซิบเบาๆ อย่างเนิบนาบ “ข้าเองก็ไม่อยาก จะว่าไปแล้วก็ง่ายมาก วันใดที่เสี่ยวไป๋ยังทำตัวดีๆ อยู่กับข้า วันนั้นตระกูล
ชิวก็จะมีแต่คุณชายสี่ ไม่มีคุณหนูสี่แห่งตระกูลชิว”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แล้วหันหน้ามองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง หรี่ตาอย่างแคลงใจ “ฝ่าบาท ท่านไม่รังเกียจสตรีหรือ”