พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชิวเยี่ยไป๋ไม่หันกลับเพียงส่งเสียง “เข้ามา”
ประตูไม้ไผ่เปิด แอ้ด ซวงไป๋ประคองถาดอาหารว่างเข้ามา มองดูชิวเยี่ยไป๋พลางยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้าชิว ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมบ๊วยเค็มกับพุทราแดงกุหลาบต้มน้ำตาล บำรุงกระเพาะบำรุงเลือดดีที่สุด โปรดลองสักหน่อย”
ชิวเยี่ยไป๋สดุ้ง
แม้ไป๋หลี่ชูจะบอกพวกซวงไป๋เอาไว้ว่า นางเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่พอได้ยินคำว่า ‘บำรุงเลือด’ จากปากผู้อื่นทุกวันอย่างนี้ นางก็รู้สึกตะครั่นตะครอ
นางกลับไปนั่งลงข้างโต๊ะ มองของที่อยู่ชามไม้สาธรสลักลายบุปผาดอกเล็กอย่างวิจิตร ลูกพุทราและถั่วแดงลอยอยู่ท่ามกลางกลีบกุหลาบสดใหม่หลายใบ ดูแล้วช่างทำให้คนอยากอาหาร ข้างๆ กันยังมีเม็ดบ๊วยผลวาววับดั่งผลึกใสประดับใบสะระแหน่อยู่อีกถาดหนึ่ง
บ๊วยเค็มชุ่มคอ ถั่วแดง พุทรา กุหลาบล้วนมีสรรพคุณบำรุงเลือด ว่ากันว่าล้วนเป็นสิ่งวิเศษสำหรับสตรี
นางพับแขนเสื้อขึ้น แล้วค่อยๆ กินอาหารตรงหน้าเงียบๆ จนหมด
สองวันนี้ไป๋หลี่ชูให้ซวงไป๋เอาแต่ของพวกนี้มาให้
เห็นชิวเยี่ยไป๋กินจนหมดมิได้ปฏิเสธ ซวงไป๋ก็แย้มยิ้ม “ใต้เท้ารู้สึกสองวันนี้ดีขึ้นบ้างไหม”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูซวงไป๋ เชิดมุมปากและพยักหน้า “ขอบใจที่เป็นห่วง”
สองวันนี้ซวงไป๋เป็นคนดูแลนางทั้งอาภรณ์ การกินการอยู่ และหยูกยา หากบอกว่าอีไป๋เป็นเพชฌฆาตข้างตัวไป๋หลี่ชู ถ้าเช่นนั้นซวงไป๋ก็คือ ‘แม่บ้าน’ ผู้รู้ใจคน หน้าตาหล่อเหลาของเขาดูแล้วเหมือนเหี้ยมเกรียมกว่าอีไป๋ แต่รอยยิ้มเกลื่อนหน้าตลอดเวลาและการกระทำมักรู้ใจคนอื่น
แต่นางเชื่อว่าในยามจำเป็น ฝีมือของซวงไป๋เหี้ยมโหดกว่าอีไป๋แน่
ถ้านางจำไม่ผิด ซวงไป๋ยังเป็นหัวหน้าหน่วยลงทัณฑ์ของค่งเฮ่อเจียนด้วย คนที่สามารถลงทัณฑ์เพื่อนร่วมงานได้ จิตใจและนิสัยไม่ธรรมดาแน่
ซวงไป๋เก็บถ้วยชามพลางกล่าวเหมือนเรื่องเล็กน้อยว่า “ถ้าใต้เช้าชิวหายดีเร็วขึ้น ก็ไม่เสียทีที่ฝ่าบาทอุตส่าห์ดูแลเอาใจใส่แล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินก็นิ่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งเสียง “อืม” เสียงหนึ่งอย่างใจลอย
นั่นนะสิสองวันนี้แม้ไป๋หลี่ชูยังคงชอบพูดยั่วให้โมโหเหมือนเดิม จนนางอยากจะจับโยนลงหลุมแล้วกลบทิ้งเลย และแปะผ้ายันต์ทับไว้…ไม่ให้ได้ผุดได้เกิด
ทว่า…
ความละเอียดลออเอาใจใส่อย่างเป็นธรรมชาติของเขา เช่นแม้นางจะไม่ยินยอม แต่เขากลับทาบมือไว้ที่ท้องน้อยของนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่กลางคืนยันเช้า ดีกว่ากระเป๋าน้ำร้อนเป็นไหนๆ ทำให้นางหลับสนิทอย่างไม่รู้ตัว เช่นระหว่างเตียงหยกที่เย็นสบาย ในส่วนที่เป็นที่นอนของนางเป็นต้องปูด้วยผ้าห่มบางๆ เช่นระหว่างนี้อาหารการกินไม่มีอาหารที่มีกลิ่นคาวหรือเย็นโดยเด็ดขาด น้ำชาบนโต๊ะนางยิ่งอุ่นจัดอยู่เสมอ ดื่มเมื่อใดก็ได้
ชิวเยี่ยไป๋มิใช่คนที่ได้รับคุณคนแล้วไม่รู้สึกรู้สา นางไวมากในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงคิดไม่ตกและมิรู้ว่าเขาทำไปเพราะอะไร
ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้
น้ำใจเช่นนี้เหมือนอบอุ่นฝนพรำ ชุ่มชื่นสรรพสิ่งไม่เหมือนบุคลิกการกระทำของเขาเลย และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนาง ต่อให้มิใช่เนื้อหวงห้ามสำหรับผู้ล่า แต่จะฝืนนับเป็นผู้ร่วมมือกันก็พอได้
เขาต้องการเลือดของนาง นางต้องการให้เขาช่วยปกปิดความลับ ‘บุตรีคนที่สี่ของตระกูลชิว’
ซวงไป๋เห็นชิวเยี่ยไป๋ท่าทางใจลอย ดูเหมือนจะมองทะลุถึงก้นบึ้งจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้ามิต้องเก็บไว้ในใจหรอก ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ไหนแต่ไรข้าน้อยเคยเห็นแต่คนที่กลัดกลุ้มว่าคนอื่นทำไม่ดีกับตน ยังไม่เคยเห็นใครกลุ้มใจเพราะคนอื่นดีกับตนเกินไปเลย”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน ช้อนตามองซวงไป๋ลอบถอนใจ นั่นเพราะเจ้าไม่รู้นะสิว่าที่ว่า ‘ดี’ นั่นคนรับรับไว้อย่างอกสั่นขวัญแขวน
แต่ที่ซวงไป๋พูดก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ในเมื่อนางกับเขาต่างก็มีความลับที่ต้องเก็บงำ สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยที่สุดก็เห็นได้ชัดว่า…‘โรครังเกียจสตรี’ ของไอ้หมอนั่นยังไม่หายขาด
เช้านี้นางตื่นเช้าหน่อย ก็แค่อยากคิดดูว่าสองวันก่อนเขาถากถางนางว่าไม่เหมือนสตรี นางชักไม่ยอมรับ จึงลองเกล้ามวยผมสตรีต่อหน้าคันฉ่องดู และใช้เครื่องแต้มของเขาแต้มริมฝีปากตนเองโดยไม่พยายามให้ไม่มีเสียง
ไป๋หลี่ชูตื่นขึ้นมาเห็นนางนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง ก็เข้ามามือซน แต่พอนางหันกลับใบหน้าขาวผ่องของเขาก็เขียวคล้ำแล้วถอยไปหลายก้าวราวกับพบสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว จากนั้นถึงกับทนดูไม่ได้วิ่งออกจากห้องไป
ทำเอานางโมโหจนตะลึง ยิ่งนึกยิ่งอยากคว้าดาบสับมันให้เป็นแปดชิ้น
ดังนั้น แม้ชิวเยี่ยไป๋จะถูกทำร้ายศักดิ์ศรี แต่นางก็คิดว่าในเวลาอันสั้นยังไม่ต้องห่วงปัญหาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเอง จึงค่อยสบายใจขึ้น
แต่ชิวเยี่ยไป๋มิรู้ว่าใครคนนั้นสำรวจนางทั้งนอกทั้งในมาแล้ว และขณะนี้กำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับเสือดาวตัวน้อยที่เขาต้องตา เพียงแต่ยังรับไม่ได้กับลักษณะสตรีของนางเท่านั้น
“ซวงไป๋ ขอบใจมาก ข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ” ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจคราหนึ่ง หลังนางมาเข้าราชธานีครั้งนั้น ถึงกับไปตอแยเอาเจ้าตัวประหลาดโรคจิตเข้า นี่เป็นเรื่องเฮงซวยจริงๆ
ซวงไป๋แววตาวิบวับ เห็นสีหน้าของนางไม่กลัดกลุ้มเหมือนเมื่อครู่จึงยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อใต้เท้าคิดตกแล้ว ซวงไป๋ก็ไม่รบกวนการพักผ่อนของใต้เท้าแล้ว”
พูดจบเขาก็เก็บข้าวของแล้วออกไป
แม้เขาจะมิรู้ว่าใต้เท้าชิวบาดเจ็บตรงไหน วันนั้นตอนเจ้านายอุ้มใต้เท้าสมทบกับพวกเขา เพียงเห็นขากางเกงของใต้เท้าคราบเลือดติดเต็ม ดูเหมือนจะบาดเจ็บไม่เบา หลายวันนี้ดูเหมือนจะหายดีอย่างรวดเร็ว แต่เจ้านายยังคงห้ามมิให้รบกวนโดยไม่จำเป็น
ซวงไป๋เพิ่งออกพ้นประตูก็เห็นในลานบ้านมีเงาแดงฉูดฉาดสายหนึ่ง ดวงตาเย็นเยียบกำลังมองมาเงียบๆ
ซวงไป๋งงงันแล้วเดินเข้าหาทันที น้อมคารวะ “ฝ่าบาท”
ไป๋หลี่ชูพยักหน้า “เขากินแล้ว”
ซวงไป๋ยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้ากินแล้ว คิดว่าคงรู้พระทัยฝ่าบาท”
ไป๋หลี่ชูหรี่ตามองดูหอน้อย ครู่หนึ่งจึงร้องเหอะอย่างเหยียดหยาม สีหน้ายากจะหยั่งคะเน
ซวงไป๋มองดูเจ้านาย เขานับว่าเป็นคนสนิทที่สุดแต่ไหนแต่ไร จะมากหรือน้อยก็พอจะเดาความคิดของเจ้านายได้บ้าง แต่หนนี้เขาเดาไม่ออกจริงๆ นอกจากรู้ว่าเจ้านายต้องตาใต้เท้าชิวคนนี้ แต่น้ำหนักนี้มีมากน้อยเท่าใดในจิตใจ
จะทำตัวเหมือนเรือลำน้อย ผ่านเข้าไปในความมืดมิดของจิตใจเจ้านายได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย
“ฝ่าบาท ท่านไม่ควรตื่นตอนนี้ ท่านราชครู…” ซวงไป๋คิดดู ยังคงควรถามก่อนว่าทำไมจู่ๆ ฝ่าบาทจึงตื่นขึ้นมาตอนนี้และเรียกพวกเขา หรือว่าแผนมีการเปลี่ยนแปลง
ไป๋หลี่ชูหน้าเย็นลง กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ถ้ามิใช่ไอ้โง่นั่นใช้มิได้เกินไป เจ้าว่าข้าจะเสี่ยงตื่นขึ้นมาหรือ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพลังฝีมือของเสี่ยวไป๋มิใช่เหมือนพวกลูกหลานชนชั้นสูงเด็ดขาด นึกดูแล้วอาเจ๋อโง่งมอยู่บ้าง แต่เสี่ยวไป๋ยอมรับได้มากกว่า นึกไม่ถึงว่ามันใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้ คนคนเดียวก็คุ้มครองไม่ไหว”
แม้เพราะอาเจ๋อจึงได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของเสี่ยวไป๋ แต่สุดท้ายหากมิใช่เขาพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องจึงเสี่ยงตื่นขึ้นมา ยังนึกไม่ออกเลยว่าเสี่ยวไป๋กับพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร