ชิวเยี่ยไป๋มองดูไป๋หลี่ชูอย่างมีความหมาย ยิ้มให้เด็กหญิงและกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “น้องสาว เมื่อครู่เจ้าว่าอันใด”
เด็กหญิงยิ้มหวาน แก้มยุ้ยมีลักยิ้มทั้งสองข้าง “ข้าว่าพี่ชายคนนี้ ท่านช่วยซื้อดอกซิ่งฮวาให้ภรรยาสักช่อเถิด สดมากนะ จะยิ่งเน้นให้ภรรยาท่านสวยขึ้นนะ”
ชิวเยี่ยไป๋จ้องไป๋หลี่ชูเงียบๆ เห็นหลังมือขวาผ่องของเขาที่หิ้วถุงอยู่เส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน พลันรู้สึกสะใจ พยายามกลั้นหัวร่อกล่าวทันทีว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าภรรยาพี่ชายสวยมาก นางสวมงอบและยังมีผ้าคลุมหน้านะ”
พอพูดเช่นนี้ ไป๋หลี่ชูที่กำลังจะอ้าปากบอกความจริงก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไปอย่างแข็งขืน
เด็กหญิงนึกไม่ถึงว่าพี่ชายรูปหล่อคนนี้จะถามเช่นนี้ คาดว่ายามปกติเด็กขายดอกไม้ปากหวานอยู่แล้ว แต่คราวนี้ไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงตะกุกตะกักว่า “เพราะ…เพราะภรรยาท่านดูแล้วสวยมากนะสิ ตอนนางเดินชายกระโปรงยังไม่ขยับเลย ซิ่วไฉข้างบ้านข้าเคยบอกว่าคนงามก็เป็นอย่างนี้ เพราะงามไปหมด”
แม้จะไม่เผยหน้าตา แต่กริยาการเดินเหินและฝีก้าวที่สง่างามมิใช่ใครๆ ก็ทำได้ ยังมีสองมือที่แม้ดูแล้วจะใหญ่กว่ามือของพี่ชายที่เดินนำหน้า แต่เป็นมือที่เรียวยาวงดงาม เล็บมือก็ขาวแวววาวเหมือนเปลือกหอยที่ขายกันตามร้านแถวริมแม่น้ำ
เด็กหญิงพูดจบ พ่อค้าแผงลอยที่อยู่ข้างๆ ก็อดผงกศีรษะอย่างเห็นด้วยมิได้ เมืองเล็กๆ ของฝั่งใต้แม้จะมีแขกไปใครมามากมาย แต่ราศีงดงามเช่นสตรีที่อยู่ข้างกายพี่รูปหล่อคนนี้พบน้อยมาก เห็นพี่รูปหล่อข้างกายนางแม้จะสวมใส่ธรรมดา แต่ท่าทางไม่ธรรมดา น่าจะเป็นสามีภรรยาของตระกูลใหญ่ต่างถิ่นที่ล่องเรือผ่านหนานอั้นแล้วจูงมือกันมาเที่ยว
“พี่ชาย ซื้อสักช่อนะ ประดับให้ภรรยาสวยของท่าน ก็แค่ช่อละสามเหวินเท่านั้นเอง” เด็กหญิงพูดจบก็มองชิวเยี่ยไป๋อย่างประจบประแจง
ชิวเยี่ยไป๋กลั้นหัวร่อ ล้วงเหรียญทองเหลืองสิบกว่าอันโยนลงในตะกร้าของเด็กหญิง “เลือกให้ข้าช่อหนึ่ง”
เด็กหญิงตกใจ “ไม่ต้องเยอะขนาดนี้”
นางจูงไป๋หลี่ชูแล้วเลือกดอกซิ่งฮวาที่ยังไม่บานช่อหนึ่งจากตะกร้า “นี่เป็นเพราะภรรยาข้าเห็นเจ้าปากหวานจึงสั่งข้าให้เจ้าเก็บไว้แล้วกัน จริงไหม ภรรยาข้า”
เด็กหญิงกระสับกระส่าย แต่เห็นท่าทางจริงจังของชิวเยี่ยไป๋ก็ดีอกดีใจ ขอบคุณละล่ำละลัก “ขอบคุณพี่ชาย ท่านกับภรรยาท่านล้วนเป็นคนใจดี ต้องครองรักกันเป็นร้อยปีแน่เลย มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะ”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าคนที่ตนจูงอยู่ตัวแข็งทื่อก็ยิ่งสะใจ จึงโบกมือ “สมพรปาก สมพรปาก เผลอๆ ตอนนี้มีคนหนึ่งแล้ว”
พูดพลางเอื้อมมือลูบท้องน้อยไป๋หลี่ชูด้วยสีหน้าสะทกสะท้อน แน่นอน พริบตานั้นนางรับรู้ได้ถึงสายตาเหมือนคมมีดคู่หนึ่งกำลังทะลุผ่านแพรคลุมหน้าทิ่มใส่หน้านาง
แววตาเหมือนคมมีดที่ใกล้เคียงกับของจริงทำเอานางสั่นเล็กน้อย แต่จนใจที่ชิวเยี่ยไป๋หน้าหนาอยู่บ้าง และนี่ยังเป็นที่สาธารณะผู้คนมากมาย ไป๋หลี่ชูไม่มีทางถอดงอบออกเด็ดขาด เขาสวมงอบเพราะตั้งใจจะกัน ‘ความสกปรก’ ของผู้คนอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ท่ามกลางสายตามากขนาดนี้
ดังนั้นนางจึงลูบท้องน้อยแบนราบและแข็งแรงของไป๋หลี่ชูเหมือนเดิม กล่าวอย่างสะทกสะท้อนว่า “หวังว่าคราวนี้จะราบรื่นนะ อย่าแท้งอีกล่ะ ปล่อยให้ภรรยาข้าลำบากลำบนขนาดนั้น”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นอายเย็นชาของไป๋หลี่ชูแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันลอดมาจากแพรคลุมหน้า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าเกินไปแล้ว”
นางยิ้มน้อยๆ พลางลูบคลำท้องน้อยเขาด้วยแววตาหวานเยิ้ม พลางหัวร่อเย็นเยือก “อาชู ข้าก็แค่ใช้วิธีเดียวกันคืนสนองเท่านั้นเอง”
คนรอบข้างได้ยินชิวเยี่ยไป๋พูดเช่นนี้ ก็พากันมองดูไป๋หลี่ชูอย่างเวทนา โฉมสะคราญมักอาภัพจริงหนอ ถึงกลับแท้งบ่อยๆ หรือ
“หนุ่มน้อย เจ้าต้องสงสารภรรยาเจ้าให้มากหน่อยนะ” แม่เฒ่าขายเครื่องประทินผิวคนหนึ่งสอดคำ
ชิวเยี่ยไป๋ทำสีหน้าเหมือนน้อมรับคำสอน “นั่นย่อมแน่นอน ภรรยาข้านุ่มนวลเป็นกุลสตรีที่สุด”
ว่าแล้วก็กวาดตามองดูแผงลอยของแม่เฒ่า แล้วลากไป๋หลี่ชูเดินไปหลายก้าว จากนั้นหันหน้ามากล่าวกับไป๋หลี่ชูอย่างนุ่มนวล “ภรรยาข้า ข้ามัวแต่ค้าขายอยู่ข้างนอก ยากนักจะมีโอกาสเป็นเพื่อนเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านแม่เจ้า เจ้าดูแป้งพวกนี้สิ ถ้าชอบใจก็ซื้อเลย”
แม่เฒ่าฟังแล้วรู้ว่าจะได้ขายของก็ตาลุกวาว กล่าวกับไป๋หลี่ชูอย่างยิ้มแย้ม “แม่นางคนนี้ ยากนักได้เจอะบุรุษที่รู้ร้อนรู้หนาว โชคดีนะ ต้องกตัญญูต่อพ่อผัวแม่ผัวนะ ดูแลสามีให้ดีนะ”
จากนั้นเห็นชิวเยี่ยไป๋กำลังเลือกชาดแต้มกับแป้งน้ำ ประมาณว่าจะดึงไป๋หลี่ชูไปพูดอะไรหน่อย แต่เห็นไป๋หลี่ชูท่าทางเย็นชาจึงไม่กล้ายื่นมือไป แม่เฒ่านึกในใจ หญิงคนนี้ช่างเย่อหยิ่งจริงหนอ
นางจึงเข้าใกล้ไป๋หลี่ชูกล่าวเสียงเบาว่า “แม่นาง ข้าผู้เฒ่าดูแล้วเจ้าเป็นคนโชคดีนะ มีกินมีใช้ แต่ท่าทางแข็งไปหน่อย ไม่เหมือนได้รับการอบรม โบราณว่าไว้ อกตัญญูมีสามอย่าง ไม่มีทายาทร้ายแรงที่สุด สามีเจ้าดูแล้วเป็นคนดีนะ อาจมีปีศาจจิ้งจอกหมายปองไม่น้อย เจ้าต้องรีบคลอดทารกตัวโตให้สามีเจ้าจึงจะถูกต้อง อย่าไปเลียนแบบแม่นางสมัยนี้ที่ชอบรูปร่างสะโอดสะอง ไม่กินข้าว จะเอาเด็กไว้ไม่อยู่ เดี๋ยวจะโดนพวกปีศาจจิ้งจอกเอาไปกิน!”
แม่เฒ่าคิดเอาเองว่ากระซิบกับไป๋หลี่ชูแล้วคนอื่นจะไม่ได้ยิน แต่นางขายของจนชินแล้ว เสียงเบาเสียที่ไหนกัน
ชิวเยี่ยไป๋ที่ถือกล่องแป้งหัวร่อจนไหล่สะท้าน
อาจเพราะพูดจนได้ที่ แม่เฒ่าดูเหมือนจะอดใจไม่ไหว จึงเอื้อมมือหยิกหลังของไป๋หลี่ชูแล้วสั่นศีรษะพึมพำว่า “ไม่ไหว ไม่ไหว เอวแข็งยังกับกระดาน ตอนคลอดเด็กน่ากลัวจะคลอดยาก”
ชิวเยี่ยไป๋ยืนไม่ติดแล้ว ก้มตัวลงเหมือนกำลังดูเครื่องประทินโฉม แต่ความจริงกำลังกุมท้องยองตัวลงเพราะกลั้นหัวร่อจนหน้าบูดเบี้ยว
ไป๋หลี่ชูใต้งอบไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ยืนอยู่กับที่เหมือนท่อนไม้ รอบกายกลิ่นอายการฆ่าฟันเย็นเยียบ แต่ก็จนใจที่รอบข้างเป็นชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง แม้จะรู้สึกตัวว่าแม่นางรูปงามคนนี้มีกลิ่นอายชวนตกใจ แต่ก็ไม่มีใครอยากสลายตัว
บรรดาองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่ปะปนกับฝูงชาวบ้านค่อยๆ จากไปช้าๆ อย่างเงียบเชียบ
ไม่ พวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลย และไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
…
ไป๋หลี่ชูพลันยื่นมือลากชิวเยี่ยไป๋ออกไปอย่างแรงจนชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเจ็บข้อมือ
นางเห็นไป๋หลี่ชูทนไม่ไหวจนแทบจะคืนร่างอสูรแล้ว จึงโยนเงินพวงหนึ่งแล้วซี้ซั้วคว้าแป้งน้ำชาดแต้มกำหนึ่งยัดใส่แขนเสื้อ โบกมือให้แม่เฒ่าคนนั้น “ขอบใจนะ”
แม่เฒ่าเห็นชิวเยี่ยไป๋โดนลากไปเช่นนี้ก็ร้อนใจจนกระทืบเท้าเร่าๆ ตะโกนไล่หลังไป๋หลี่ชู “แม่นางคนนี้ช่างดื้อจริง ทำไมไม่ฟังคำเตือนบ้าง ท้องสามเดือนแรกห้ามออกแรงนะ”