ไป๋หลี่ชูเห็นอากัปกริยาของนางก็จ้องมองของในมือนางแล้วกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าพบว่าของกินของเสี่ยวไป๋นี้แดงฉานสดใส และยังเคลือบด้วยของเหนียวๆ อีกชั้น ดูแล้วเหมือนศีรษะคนที่เน่าจนน้ำเหลืองเยิ้ม ท่าทางอร่อยมากนะ”
บรรยายจนเห็นภาพเช่นนี้ พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าขนมน้ำเต้าในมือตนกลายเป็นศีรษะคนเละเทะเป็นพวง นางหน้าเขียวฉับพลันและไม่รู้สึกอยากกินอีก จึงโยนขนมในมือทิ้งไป กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าหลอกข้าให้ผะอืดผะอมอีกสินะ”
ไป๋หลี่ชูช้อยตามองนางครู่หนึ่ง พลันยิ้มอย่างมีความหมาย “ข้าไม่เคยหลอกเจ้า เสี่ยวไป๋ ยังจำได้ไหม”
ชิวเยี่ยไป๋งงชักตามไม่ทัน จึงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “อ้อ หมายความว่าอย่างไร”
ไป๋หลี่ชูล้วงขนมเปี๊ยะกุหลาบชิ้นหนึ่งจากถุงใบเล็กที่ประณีต ส่งเข้าปากช้าๆ “ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่าเจ้ามันโง่”
พูดจบก็ปล่อยแพรคลุมหน้าลง หันกายเดินออกจากตรอก
ชิวเยี่ยไป๋มองตามเงาหลังของเขา จิตใจหนักอึ้งอยู่บ้าง รู้สึกว่ารอยยิ้มเมื่อครู่พิกลและมีเลศนัยอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อครู่มิได้สลายไปเพราะคำพูดเย้าแหย่สองแง่สองง่ามไม่กี่คำนั้นเลย กลับวนเวียนในจิตใจอย่างน่าประหลาดและยากจะขจัดไป
“เจ้าบอกว่าจะเดินเที่ยวเล่นมิใช่หรือ ยังอยากไปอีกไหม” ไป๋หลี่ชูหันมากล่าวเนือยๆ
ชิวเยี่ยไป๋ชะงักแล้วพลันยิ้มร่า “ได้ ไปกันเถอะ!”
ว่าแล้วนางก็สาวเท้าก้าวตามไปทันที
ทั้งสองจึงเดินออกสู่ข้างนอกโดยคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าอีกคนตามหลัง
หลังฝนตกหนักหยุดแล้ว บรรดาเรือโดยสารที่เดิมเทียบฝั่งไม่สะดวกพากันเทียบฝั่งหมดแล้ว บนถนนสายน้อยคนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกหาบเร่แผงลอยก็มากขึ้นจนครึกครื้นมาก
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเบิกบาน นางไม่ได้เดินเล่นเช่นนี้ตามถนนใหญ่มานานแล้ว อย่าว่าแต่ฝั่งใต้นี้เป็นศูนย์กลางการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก ของแปลกประหลาดมีมากมาย และบังเอิญวันนี้มีตลาดนัด นางจึงยิ่งสนุก
พอนางเห็นข้าวของที่น่าสนใจก็จะหยุดลงและพูดคุยกับคนหาบเร่ ซื้อโน่นซื้อนี่เป็นระยะ
คนของค่งเฮ่อเจียนที่แฝงตัวในกลุ่มคน เห็นนางแวะทางนี้บ้างทางโน้นบ้าง แม้จะสงสัยอยู่ว่านางถือโอกาสติดต่อกับใครหรือไม่ แต่เป้าหมายที่อีกฝ่ายแวะคุยด้วยกว้างเกินไป ทำให้พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าคนไหนเป็นเป้าหมาย
และเห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่ชูที่เดินตามหลังนางไม่ได้สบายอารมณ์นัก ต่อให้เขามีกลิ่นอายชนิดที่ใครก็อย่าเข้าใกล้ทั่วทั้งตัว ต่อให้เขาเป็นยอดฝีมือ แต่จนใจที่ยามคนมากเบียดเสียดยัดเยียดกัน เขาก็หมดปัญญาที่จะแยกตัวจากผู้คน และเขาก็ห้ามมิให้พวกค่งเฮ่อเจียนช่วยเบิกทาง ดังนั้นพวกองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนจึงได้แต่แลดูผู้เป็นนายเบียดไหล่ไปตามฝูงคนอย่างโซซัดโซเซ
พวกเขาดูจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะแม้พวกเขาจะไม่เห็นใบหน้าของเจ้านาย แต่กลิ่นอายทั่วตัวบ่งบอกว่าโมโหจนเกือบระเบิดแล้ว
…
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเข้มข้นของคนประเภทต่างๆ กลิ่นเหงื่อกลิ่นแป้งผสมปนเปกัน ราวกับกรงขังขนาดใหญ่ที่ขังคนไว้ ทำให้ไป๋หลี่ชูหายใจไม่ออก
ถ้าเพียงแค่กลิ่นเขาอาจพอทนได้ แต่คนรอบตัวที่ไปๆ มาๆ เบียดใส่เขา ชนใส่บ่าไหล่และข้อศอกของเขา ซ้ำร้ายบางครั้งตั้งใจหลบจนพ้นแล้ว ยังมีบางคนไม่รู้เพราะอะไรจึงจงใจชนใส่อีก
ทนไม่ไหวแล้ว!
หมอกดำในตาของเขาค่อยๆ เข้มขึ้น
ไป๋หลี่ชูหารู้ไม่ว่าท่าทางแข็งทื่อของเขาเหมือนดรุณีในห้องหอที่เพิ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก แม้จะสวมงอบและมีผ้าแพรคลุมจึงไม่เห็นใบหน้า แต่ราศีปกปิดมิได้ ข้างกายก็ไม่มีหญิงรับใช้สักคน ย่อมทำให้มีคนคิดจะเอารัดเอาเปรียบ โดยพยายามเบียดเสียดสัมผัสกับตัวเขา
ซ้ำร้ายบางคนเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ถึงกับยื่นมือลูบคลำมือเขาหน้าตาเฉย
ความอดทนของไป๋หลี่ชูขาดผึงในพริบตา ดวงตาดำสนิทฉายแววแดงฉานแวบหนึ่ง ผนึกพลังที่ปลายนิ้ว ขณะเตรียมจะเปิดฉากฆ่าฟันขนานใหญ่ พลันรู้สึกลมเย็นวูบหนึ่งกระทบใบหน้า
แล้วพริบตานั้นเสียงแผดร้องโหยหวนก็ดังขึ้น ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยก็คว้าข้อมือของเขาไว้ ขัดขวางการลงมือของเขาเหมือนไร้เจตนา
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำเอาคนรอบข้างร้องอย่างตกใจและกระจายออกเหลือพื้นที่วงเล็กๆ
“เจ้าทำร้ายพี่น้องข้าทำไม ไม่รู้หรือว่านี่ถิ่นใคร ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!” อันธพาลหลายคนเห็นคนของตนแต๊ะอั๋งไม่สำเร็จ กลับถูกโยนออกไป จึงตวาดลั่นแล้วกรูกันเข้ามา
ชิวเยี่ยไป๋คว้ามือเรียวยาวของไป๋หลี่ชู “ลองดูสิว่าใครกันแน่ที่อยากตาย”
พริบตานั้นคนรอบข้างก็เข้าใจ อันธพาลพวกนี้เป็นนักเลงเจ้าถิ่น ยามปกติชอบลวนลามสะใภ้ตัวเล็กดรุณีตัวน้อย กร่างตามตลาดร้านถิ่น ครานี้เห็นสามีภรรยาต่างถิ่นคู่นี้จึงคิดลวนลามภรรยาเขา ทุกคนจึงมองดูอันธพาลสองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม
ไป๋หลี่ชูรู้สึกว่ามือที่กุมมือของตนปลายนิ้วและง่ามมือเนื้อด้านเพราะกุมกระบี่อยู่เสมอ มือข้างนั้นนุ่มนิ่มและอบอุ่น ความอบอุ่นนี้ค่อยๆ ชำแรกเข้าผิวกายและโลหิต จากนั้นไหลตามโลหิตเข้าสู่หัวใจช้าๆ
ทำให้กลิ่นอายดำมืดของความดุร้ายเย็นเยียบค่อยๆ สลายไป
เขามองผ่านแพรคลุมหน้าดูเงาร่างอ้อนแอ้นที่ขวางตนไว้ ดวงตาลึกล้ำเย็นเยือกที่ผู้คนอ่านอารมณ์ไม่ออกนั้นมีแววเหม่อลอยวูบหนึ่ง
นางกำลังปกป้องตนหรือ
ถึงกับมีคนขวางอยู่เบื้องหน้าตนด้วยท่าทางปกป้องเช่นนี้
ความรู้สึกนี้ เหมือน…ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายผุดขึ้นในใจ
ชิวเยี่ยไป๋มิได้ล่วงรู้ถึงอารมณ์สับสนของไป๋หลี่ชูที่อยู่ข้างหลัง แต่ตั้งอกตั้งใจจะจัดการกับอันธพาลตัวน้อยที่บังอาจถอนขนที่ก้นเสือ
“โอ๊ย!” เสียงแผดร้องดังขึ้นอีก อันธพาลคนหนึ่งที่ชักมีดสั้นออกมาหมายจะลอบจู่โจม ถูกชิวเยี่ยไป๋บีบข้อมือจนหัก ทำเอาเขาแผดร้องเสียงหลงแล้วคุกเข่าลงอย่างไม่อาจขัดขืน ชิวเยี่ยไป๋ไม่เกรงใจแม้แต่น้อยตรงเข้าเหยียบหลังทันที แล้วตบมีดสั้นตรึงฝ่ามือเขา
“ของขวัญมีดสั้นเช่นนี้ข้ามิกล้ารับไว้ เจ้าเอาคืนไปเถิด!”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างสบายอารมณ์แล้วช้อนตามองดูพวกอันธพาลที่มีสีหน้าตกอกตกใจ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้ามีใครจะให้ของขวัญอีกไหม”
สำหรับชิวเยี่ยไป๋แล้วแม้จะเป็นเพียงการลงโทษเล็กน้อย แต่ความเหี้ยมเกรียมและฝีมือที่หมดจดยังคงทำให้คนรอบข้างสะดุ้งและถอยหลังออกไป
อันธพาลหลายคนนั้นเห็นพรรคพวกของตนใต้เท้านางน้ำหูน้ำตาไหล เจ็บปวดจนตัวสั่น พริบตานั้นพากันใจเต้นตูมตามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พวกเขาไม่โง่ เห็นสภาพเช่นนี้แล้วย่อมรู้ว่าชิวเยี่ยไป๋ไม่เพียงพลังฝีมือเหนือกว่าพวกตน นิสัยใจคอก็ร้ายกาจมาก เห็นสามีภรรยาคู่นี้แม้จะสูงเตี้ยกว่ากันอย่างพิลึกและแต่งกายเหมือนคนทั่วไป แต่ปกปิดราศีไม่มิดน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา และที่ไม่ได้มีคนใช้ติดตามคงเพราะคู่สามีภรรยาอยากอยู่กันตามลำพัง