ครานี้พวกเขาเตะเอากระดานเหล็กเข้าแล้ว ชิวเยี่ยไป๋พลันก้าวเข้าหาพวกเขา อันธพาลกลุ่มนั้นถอยกรูดในพริบตา จากนั้นเห็นชิวเยี่ยไป๋หรี่ตามองดูพวกเขาอย่างน่าหวาดเสียว แววตาเปี่ยมด้วยกลิ่นอายการฆ่าฟัน นางพลันยกมือขึ้น พวกอันธพาลตกใจจนร้องลั่นแล้วหันกายวิ่งหนีไป ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว แค่นเสียง “เฮงซวย” จากนั้นนางก็เตะใส่อันธพาลที่เมื่อครู่จะลอบจู่โจมนางจนกระเด็นไปไกล แค่นเสียงเย็นชาว่า “อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก” อันธพาลคนนั้นไม่คำนึงถึงหน้าตาทุลักทุเลที่เปื้อนน้ำมูกน้ำตา รีบกุมมือที่ถูกแทงทะลุไว้ทันทีแล้วกลิ้งตัวหนีไปอย่างร้อนรน ฝูงชนรอบข้างชมฉากวีรบุรุษช่วยโฉมงามจบลงอย่างเต็มอิ่ม พลันโห่ร้องขึ้น ในจำนวนนั้นยังมีคนหาบเร่ไม่น้อยที่ดีอกดีใจคงเพราะเคยถูกพวกอันธพาลรังแกมาก่อน ชิวเยี่ยไป๋หันไปมองไป๋หลี่ชูที่ถูกตนคว้าข้อมือไว้ ถามอย่างกังวลว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง” ปฏิกิริยาที่สงบเงียบของไป๋หลี่ชูเช่นนี้ทำให้นางวิตก เจ้าคนโรคจิตกลัวสกปรกระยะสุดท้ายคนนี้มิใช่คนที่จะยอมให้ใครลวนลามง่ายๆ บัดนี้ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย สักครู่จะเปิดฉากการฆ่าฟันขนานใหญ่ไหมหนอ เผลอๆ อาจฆ่าหมดทั้งถนนก็เป็นได้ นี่จึงจะตรงกับนิสัยของเขา ไป๋หลี่ชูแลดูนาง กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่เป็นอะไร” นางกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เวลานี้นางย่อมมิอาจเอื้อมมือไปเลิกผ้าคลุมหน้าเพื่อดูสีหน้าเขา จึงได้แต่พยักหน้า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่ามือของเขามิได้เย็นเหมือนเมื่อครู่ เมื่อครู่ตอนคว้ามือเขา นางแทบจะคิดว่าคว้าเอาน้ำแข็งก้อนหนึ่งหรือมือของซากศพ นางนึกดูแล้วยังคงกุมมือเขาไว้ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ภรรยาข้า ให้ข้าจูงไว้เถอะ ตรงนี้คนเยอะเดี๋ยวจะพลัดหลง” พูดจบก็ไม่รอให้เขาเห็นด้วย จูงมือไป๋หลี่ชูเดินต่อไปเลย ไป๋หลี่ชูงงงันแต่มิได้ขัดขืน ปล่อยให้ชิวเยี่ยไป๋จูงมือเดินไปแต่โดยดี บรรดาองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่แฝงตัวอยู่ตาถลนแทบหลุดจากเบ้า ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น…ฉากพิสดาร เจ้านายของตนถึงกับถูกใต้เท้าชิวจูงเดินเหมือนสะใภ้ตัวน้อย อีไป๋ขยี้ตา เห็นชิวเยี่ยไป๋ที่เดินนำหน้าดูเหมือนจะช่วยไป๋หลี่ชูแหวกฝูงชน พลันรู้สึกแสบตาอย่างประหลาด เจ้านายของตนกับใต้เท้าชิวดูแล้วเหมือนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ อีไป๋ถอนใจเงียบๆ ใต้เท้าชิวก็ช่างเป็นบุรุษที่เอาอกเอาใจเก่งจริงๆ แน่นอน…เอาเถิด อาจเป็นฝ่าบาทต่างหากที่เป็นสามี ส่วนใต้เท้าชิวเป็น ‘ภรรยา’ แม้ขณะนี้ดูแล้วกลับหัวกลับหางก็ตาม … ขณะเบียดเสียดยัดเยียดกับฝูงชน กลิ่นผสมปนเปยังคงเหม็นเหมือนเดิม กลิ่นเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้วธรรมดามาก แต่พอเข้าจมูกเขาดูเหมือนจะรุนแรงกว่าหลายเท่า และคนที่จูงตนอยู่ข้างหน้าเหมือนลมสายหนึ่งนำมาซึ่งกลิ่นอายที่สดชื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางกลิ่นอื่นๆ ที่ผสมปนเปยังคงรับรู้ได้อย่างชัดเจน ราวกับจู่ๆ ก็ปิดกั้นกลิ่นไม่ชวนดมเหล่านั้นจนหมด ท่ามกลางคนนับร้อยนับพัน คล้ายเห็นเงาร่างสีเขียวจูงเขาเดินไปช้าๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะถึงที่ใดก็ไม่มีวันหลงทิศทาง ไป๋หลี่ชูมองดูเงาหลังนางเงียบๆ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดเหลวไหลว่า ดูเหมือนเพียงเดินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเดินไปได้จนสุดหล้าฟ้าเขียว จู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็หยุดลง หันไปยิ้มใส่เขา “เอาละ ตรงนี้อาชูน่าจะสบายหน่อยนะ” ไป๋หลี่ชูได้สติเหลียวมองรอบๆ จึงพบว่าที่แท้ชิวเยี่ยไป๋พาตนมาถึงท่าเรือแห่งหนึ่งที่อยู่เหนือลม ที่นี่ห่างจากถนนที่เต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอยไม่ไกลนัก แต่ผู้คนไม่มาก ลมแม่น้ำที่สดชื่นพัดมาจากผิวน้ำ กวาดกลิ่นอายที่ยากจะทนทานและหงุดหงิดไปหมด จมูกได้แต่กลิ่นน้ำที่สดชื่นเจือกลิ่นคาวเล็กน้อย จิตใจของเขาก็พลอยสงบลงมากโขเพราะลมเย็น คงต้องบอกว่า ตอนนี้เขาจึงสูดลมได้เต็มปอดเฮือกหนึ่ง ลมเย็นพัดผ้าคลุมหน้าเขาปลิวไป ชิวเยี่ยไป๋รับไว้แล้วแขวนไว้กับขอบงอบเช่นเดิม ขณะเดียวกันก็ส่งดอกซิ่งฮวาให้ช่อหนึ่ง “เมื่อครู่เด็กขายดอกไม้ให้เกินมาช่อหนึ่ง” บนซิ่งฮวายังมีน้ำค้างแวววาวกลมเนียน ดูแล้วทำให้ผู้คนสบายใจ ดวงตาเย็นเยือกของเขาจ้องนางอยู่นาน ชิวเยี่ยไป๋กลับมิได้ชักมือกลับ เพียงยิ้มน้อยๆ แลดูเขา เขายิ้มน้อยๆ ก้มลงสูดดมมือของนางเบาๆ “หอมจัง” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม ใบหน้าคิ้วคางสดชื่นเหมือนสายลมพัดผ่านป่าไผ่เขียวขจี ไป๋หลี่ชูดูจนตะลึง นางพลันยกมือ เสียบช่อดอกซิ่งฮวาไว้ริมผมของเขา ความจริงไป๋หลี่ชูจะหลบก็ได้ แต่มิรู้เพราะอะไร เขาตัวแข็งและมิได้หลบ หลังเสียบช่อดอกไม้แล้ว ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มพิศไปพิศมา “คนงามประดับบุปผา งดงามจนน่าเมามาย ฝ่าบาท ช่างงามจริง” ความงามของคนเราเมื่องามจนถึงระดับหนึ่งจะสูงล้ำกว่าขีดจำกัดของเพศ ไม่ว่าจะแต่งกายเป็นบุรุษหรือสตรี ล้วนไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกผิดปกติ ไป๋หลี่ชูมองดูรอยยิ้มของนางอย่างเงียบงัน คล้ายคุณชายผู้สง่ากำลังชื่นชมคนงามที่ตนต้องตา ดวงตาเขาเหมือนกำลังเคลื่อนไหว แต่หมอกดำที่ดูเหมือนจะคงอยู่ชั่วนาตาปี ทำให้ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชิวเยี่ยไป๋ปล่อยผ้าคลุมหน้าของเขาลง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าไม่ชอบฝูงคนจริงก็อย่าฝืน ประเดี๋ยวกลับไปกับพวกอีไป๋ก็แล้วกัน” ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะไปไหน” ชิวเยี่ยไป๋เสยไรผมที่ถูกลมพัดปลิวอย่างเกียจคร้าน หัวร่อกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าบอกฝ่าบาทไปแล้วมิใช่หรือ ข้าย่อมมีที่ไป มีคนรอข้าอยู่” รอยยิ้มของนางยามนี้เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น่าดู เหมือนสายลมแสงจันทร์มีกลิ่นอายเวิ้งว้าง สายลมจู่ๆ ก็พัดแรงทำเอาเสื้อผ้าและผมเผ้าของนางปลิวไสว ทำให้เขารู้สึกว่านางยากจะคาดเดาถึงเพียงนี้ เขาพลันเอื้อมมือคว้าข้อมือนาง แต่นางถอยไปก้าวหนึ่ง จากนั้น…จู่ๆ เสียงสั่นกระดิ่งทองเหลืองที่บาดหูก็ดังขึ้น “เร็วหน่อย เรือจะออกแล้ว!” “ยังไม่ขึ้นเรือจะสายแล้ว!” “เร็ว เร็วเข้า!” ก็มิรู้ว่าจู่ๆ มีฝูงคนมาจากที่ใด อุ้มลูกจูงหลานหิ้วสัมภาระฮือกันมาที่ท่าเรือราวกับน้ำป่าที่ท่วมหลากคนทั้งสองในพริบตา ไป๋หลี่ชูงงงัน คิดจะหลบคนที่เบียดใส่ตนตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งรู้สึกว่ามิเป็นการจึงเงยหน้าขึ้น และพบว่าระหว่างเขากับนางทิ้งระยะห่างกันมากโขแล้ว ฝูงคนที่ฮือทะลักจนเขาแทบเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำได้เพียงมองชิวเยี่ยไป๋ทิ้งระยะห่างจากตนออกไปเรื่อยๆ
ครานี้พวกเขาเตะเอากระดานเหล็กเข้าแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋พลันก้าวเข้าหาพวกเขา อันธพาลกลุ่มนั้นถอยกรูดในพริบตา จากนั้นเห็นชิวเยี่ยไป๋หรี่ตามองดูพวกเขาอย่างน่าหวาดเสียว แววตาเปี่ยมด้วยกลิ่นอายการฆ่าฟัน
นางพลันยกมือขึ้น พวกอันธพาลตกใจจนร้องลั่นแล้วหันกายวิ่งหนีไป
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว แค่นเสียง “เฮงซวย”
จากนั้นนางก็เตะใส่อันธพาลที่เมื่อครู่จะลอบจู่โจมนางจนกระเด็นไปไกล แค่นเสียงเย็นชาว่า “อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก”
อันธพาลคนนั้นไม่คำนึงถึงหน้าตาทุลักทุเลที่เปื้อนน้ำมูกน้ำตา รีบกุมมือที่ถูกแทงทะลุไว้ทันทีแล้วกลิ้งตัวหนีไปอย่างร้อนรน
ฝูงชนรอบข้างชมฉากวีรบุรุษช่วยโฉมงามจบลงอย่างเต็มอิ่ม พลันโห่ร้องขึ้น ในจำนวนนั้นยังมีคนหาบเร่ไม่น้อยที่ดีอกดีใจคงเพราะเคยถูกพวกอันธพาลรังแกมาก่อน
ชิวเยี่ยไป๋หันไปมองไป๋หลี่ชูที่ถูกตนคว้าข้อมือไว้ ถามอย่างกังวลว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
ปฏิกิริยาที่สงบเงียบของไป๋หลี่ชูเช่นนี้ทำให้นางวิตก เจ้าคนโรคจิตกลัวสกปรกระยะสุดท้ายคนนี้มิใช่คนที่จะยอมให้ใครลวนลามง่ายๆ บัดนี้ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย สักครู่จะเปิดฉากการฆ่าฟันขนานใหญ่ไหมหนอ เผลอๆ อาจฆ่าหมดทั้งถนนก็เป็นได้
นี่จึงจะตรงกับนิสัยของเขา
ไป๋หลี่ชูแลดูนาง กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่เป็นอะไร”
นางกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เวลานี้นางย่อมมิอาจเอื้อมมือไปเลิกผ้าคลุมหน้าเพื่อดูสีหน้าเขา จึงได้แต่พยักหน้า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่ามือของเขามิได้เย็นเหมือนเมื่อครู่ เมื่อครู่ตอนคว้ามือเขา นางแทบจะคิดว่าคว้าเอาน้ำแข็งก้อนหนึ่งหรือมือของซากศพ
นางนึกดูแล้วยังคงกุมมือเขาไว้ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ภรรยาข้า ให้ข้าจูงไว้เถอะ ตรงนี้คนเยอะเดี๋ยวจะพลัดหลง”
พูดจบก็ไม่รอให้เขาเห็นด้วย จูงมือไป๋หลี่ชูเดินต่อไปเลย
ไป๋หลี่ชูงงงันแต่มิได้ขัดขืน ปล่อยให้ชิวเยี่ยไป๋จูงมือเดินไปแต่โดยดี
บรรดาองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่แฝงตัวอยู่ตาถลนแทบหลุดจากเบ้า ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น…ฉากพิสดาร
เจ้านายของตนถึงกับถูกใต้เท้าชิวจูงเดินเหมือนสะใภ้ตัวน้อย
อีไป๋ขยี้ตา เห็นชิวเยี่ยไป๋ที่เดินนำหน้าดูเหมือนจะช่วยไป๋หลี่ชูแหวกฝูงชน พลันรู้สึกแสบตาอย่างประหลาด
เจ้านายของตนกับใต้เท้าชิวดูแล้วเหมือนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ
อีไป๋ถอนใจเงียบๆ ใต้เท้าชิวก็ช่างเป็นบุรุษที่เอาอกเอาใจเก่งจริงๆ
แน่นอน…เอาเถิด อาจเป็นฝ่าบาทต่างหากที่เป็นสามี ส่วนใต้เท้าชิวเป็น ‘ภรรยา’ แม้ขณะนี้ดูแล้วกลับหัวกลับหางก็ตาม
…
ขณะเบียดเสียดยัดเยียดกับฝูงชน กลิ่นผสมปนเปยังคงเหม็นเหมือนเดิม กลิ่นเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้วธรรมดามาก แต่พอเข้าจมูกเขาดูเหมือนจะรุนแรงกว่าหลายเท่า และคนที่จูงตนอยู่ข้างหน้าเหมือนลมสายหนึ่งนำมาซึ่งกลิ่นอายที่สดชื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางกลิ่นอื่นๆ ที่ผสมปนเปยังคงรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ราวกับจู่ๆ ก็ปิดกั้นกลิ่นไม่ชวนดมเหล่านั้นจนหมด
ท่ามกลางคนนับร้อยนับพัน คล้ายเห็นเงาร่างสีเขียวจูงเขาเดินไปช้าๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะถึงที่ใดก็ไม่มีวันหลงทิศทาง
ไป๋หลี่ชูมองดูเงาหลังนางเงียบๆ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดเหลวไหลว่า ดูเหมือนเพียงเดินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเดินไปได้จนสุดหล้าฟ้าเขียว
จู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็หยุดลง หันไปยิ้มใส่เขา “เอาละ ตรงนี้อาชูน่าจะสบายหน่อยนะ”
ไป๋หลี่ชูได้สติเหลียวมองรอบๆ จึงพบว่าที่แท้ชิวเยี่ยไป๋พาตนมาถึงท่าเรือแห่งหนึ่งที่อยู่เหนือลม ที่นี่ห่างจากถนนที่เต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอยไม่ไกลนัก แต่ผู้คนไม่มาก
ลมแม่น้ำที่สดชื่นพัดมาจากผิวน้ำ กวาดกลิ่นอายที่ยากจะทนทานและหงุดหงิดไปหมด จมูกได้แต่กลิ่นน้ำที่สดชื่นเจือกลิ่นคาวเล็กน้อย จิตใจของเขาก็พลอยสงบลงมากโขเพราะลมเย็น
คงต้องบอกว่า ตอนนี้เขาจึงสูดลมได้เต็มปอดเฮือกหนึ่ง
ลมเย็นพัดผ้าคลุมหน้าเขาปลิวไป ชิวเยี่ยไป๋รับไว้แล้วแขวนไว้กับขอบงอบเช่นเดิม ขณะเดียวกันก็ส่งดอกซิ่งฮวาให้ช่อหนึ่ง
“เมื่อครู่เด็กขายดอกไม้ให้เกินมาช่อหนึ่ง”
บนซิ่งฮวายังมีน้ำค้างแวววาวกลมเนียน ดูแล้วทำให้ผู้คนสบายใจ ดวงตาเย็นเยือกของเขาจ้องนางอยู่นาน ชิวเยี่ยไป๋กลับมิได้ชักมือกลับ เพียงยิ้มน้อยๆ แลดูเขา เขายิ้มน้อยๆ ก้มลงสูดดมมือของนางเบาๆ
“หอมจัง”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม ใบหน้าคิ้วคางสดชื่นเหมือนสายลมพัดผ่านป่าไผ่เขียวขจี ไป๋หลี่ชูดูจนตะลึง
นางพลันยกมือ เสียบช่อดอกซิ่งฮวาไว้ริมผมของเขา ความจริงไป๋หลี่ชูจะหลบก็ได้ แต่มิรู้เพราะอะไร เขาตัวแข็งและมิได้หลบ
หลังเสียบช่อดอกไม้แล้ว ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มพิศไปพิศมา “คนงามประดับบุปผา งดงามจนน่าเมามาย ฝ่าบาท ช่างงามจริง”
ความงามของคนเราเมื่องามจนถึงระดับหนึ่งจะสูงล้ำกว่าขีดจำกัดของเพศ ไม่ว่าจะแต่งกายเป็นบุรุษหรือสตรี ล้วนไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกผิดปกติ
ไป๋หลี่ชูมองดูรอยยิ้มของนางอย่างเงียบงัน คล้ายคุณชายผู้สง่ากำลังชื่นชมคนงามที่ตนต้องตา ดวงตาเขาเหมือนกำลังเคลื่อนไหว แต่หมอกดำที่ดูเหมือนจะคงอยู่ชั่วนาตาปี ทำให้ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
ชิวเยี่ยไป๋ปล่อยผ้าคลุมหน้าของเขาลง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าไม่ชอบฝูงคนจริงก็อย่าฝืน ประเดี๋ยวกลับไปกับพวกอีไป๋ก็แล้วกัน”
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะไปไหน”
ชิวเยี่ยไป๋เสยไรผมที่ถูกลมพัดปลิวอย่างเกียจคร้าน หัวร่อกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าบอกฝ่าบาทไปแล้วมิใช่หรือ ข้าย่อมมีที่ไป มีคนรอข้าอยู่”
รอยยิ้มของนางยามนี้เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่น่าดู เหมือนสายลมแสงจันทร์มีกลิ่นอายเวิ้งว้าง สายลมจู่ๆ ก็พัดแรงทำเอาเสื้อผ้าและผมเผ้าของนางปลิวไสว ทำให้เขารู้สึกว่านางยากจะคาดเดาถึงเพียงนี้
เขาพลันเอื้อมมือคว้าข้อมือนาง แต่นางถอยไปก้าวหนึ่ง
จากนั้น…จู่ๆ เสียงสั่นกระดิ่งทองเหลืองที่บาดหูก็ดังขึ้น
“เร็วหน่อย เรือจะออกแล้ว!”
“ยังไม่ขึ้นเรือจะสายแล้ว!”
“เร็ว เร็วเข้า!”
ก็มิรู้ว่าจู่ๆ มีฝูงคนมาจากที่ใด อุ้มลูกจูงหลานหิ้วสัมภาระฮือกันมาที่ท่าเรือราวกับน้ำป่าที่ท่วมหลากคนทั้งสองในพริบตา
ไป๋หลี่ชูงงงัน คิดจะหลบคนที่เบียดใส่ตนตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งรู้สึกว่ามิเป็นการจึงเงยหน้าขึ้น และพบว่าระหว่างเขากับนางทิ้งระยะห่างกันมากโขแล้ว
ฝูงคนที่ฮือทะลักจนเขาแทบเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำได้เพียงมองชิวเยี่ยไป๋ทิ้งระยะห่างจากตนออกไปเรื่อยๆ