ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “ทุกอย่างนี้เป็นเพียงบันทึกของตำราประวัติศาสตร์ หลังมหาจักรพรรดิเจินอู่สถาปนาแคว้นแล้ว ว่ากันว่าเนื่องจากชิงชังขุนนางทรราชนี้ จึงสั่งทำลายข้อมูลประวัติศาสตร์ทุกอย่างเกี่ยวกับเก้าพันปีหลวงคนนี้ เหลือเพียงชื่อเหม็นโฉ่ไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์มักถูกบันทึกด้วยผู้ชนะ ข้าเคยสนใจคนคนนี้จึงได้ลองค้นข้อมูลที่หลงเหลือ พบว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาโดยเด็ดขาด หากเก้าพันปีหลวงเป็นเภทภัยต่อแว่นแคว้นจนพากันล่มจม ชีวิตการเป็นอยู่ของราษฎรในราชวงศ์ก่อนจะไม่มีทางรักษามาตรฐานขนาดนั้นได้”
นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “ส่วนที่ว่ากำจัดคนที่เห็นต่าง ต่อให้เป็นความจริงก็แค่จิตใจของราชัน ยังมิพักวิจารณ์คุณค่าของเก้าพันปีหลวง เพียงพูดถึงเก้าพันปีหลวงเป็นขันทีผู้หนึ่ง ก็ทำให้เบื้องสูงและต่ำของแผ่นดินกริ่งเกรงถึงเพียงนั้น เกรงว่าต่อให้วันหนึ่งเขาถูกคนพบว่าเป็นขันทีปลอม แล้วจะมีใครกล้าเปิดโปงความลับนี้ไหม คงไม่ต้องให้เขาลงมือ พวกที่ต้องพึ่งพาเขาคงกำจัดคนที่รู้ความลับนี้ให้หมดสิ้นเอง หรือไม่ก็ทำให้ความลับนี้กลายเป็น ‘ข่าวลือจอมปลอม’”
เป๋าเป่าเริ่มจะเข้าใจว่าชิวเยี่ยไป๋คิดจะทำอะไร เขาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “หรือว่า…คุณชายสี่ท่านคิดจะ…”
“ไม่ผิด ต่อให้ข้าไม่อาจเป็นเก้าพันปีหลวงคนต่อไป ข้ายังคงต้องทำให้คนที่คิดจะใช้จุดอ่อนนี้มาข่มขู่ข้า ได้ตระหนักว่าก่อนที่จะตัดสินทำอะไร…ต้องคิดให้รอบคอบขึ้น” ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเย็นเยียบและวาววับ
กลับถึงจวนตระกูลชิวปีเศษแล้ว ผ่านเรื่องราวมามากมาย โดยเฉพาะหลังปะกับไป๋หลี่ชูและเหมยซูแล้ว นางก็รู้อย่างชัดเจนถึงความไร้ความสามารถของตนเอง สำหรับไป๋หลี่ชูแล้ว ต่อให้เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง ยังมิพักพูดถึงองค์จักรพรรดิย่อมไม่ทอดทิ้งโอรสองค์นี้ แค่อิทธิพลในมือของเขาก็ไม่มีใครกล้าบังอาจก่อการใดๆ แล้ว ส่วนเหมยซูเบื้องหลังคือตระกูลตู้และพระพันปี เขาสามารถปิดฟ้าด้วยมือข้างเดียวในสามมณฑลของไหวหนาน บีบจนนางแทบจะเข้าตาจน
สมดั่งที่กล่าวกันว่าราษฎรย่อมไม่รบรากับข้าราชการ
เมื่อเทียบกับสองคนนี้แล้ว ถ้านางเพียงอยู่ในส่วนของราษฎร อาศัยฐานะบารมีของสำนักหอซ่อนกระบี่ย่อมมิต้องกริ่งเกรงแต่อย่างใด
แต่บัดนี้ ความลับของนางบังเอิญถูกสองคนนี้รู้แล้ว นางไม่ไยดีต่อตระกูลชิว แต่มารดาเป็นหนึ่งเดียวที่รักห่วงใยตนและยอมเลี้ยงดูให้นางอยู่รอดต่อไป…นางจะมิไยดีได้อย่างไร
แต่มารดากลับรักบิดาผู้ไร้ความรับผิดชอบอย่างลึกซึ้ง ยังมีน้องสาวที่ไม่รู้ความอีกคน!
ถ้าบิดาพลอยต้องโทษถูกประหารเพราะฐานะของนางถูกแพร่งพราย เกรงว่าต่อให้นางฝืนพาตัวมารดาออกมา มารดาผู้แสนดีคงใช้ชีวิตที่เหลือด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวดและโทษตนเองเป็นแน่
ดังนั้น ในเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว นางได้แต่เดิมพันสักครั้ง!
“คุณชายสี่…” ท่าทางของเป๋าเป่าสับสนมาก เขาพลันถามว่า “คุณชายสี่ตัดสินใจแล้วหรือไม่ ท่านตัดสินใจจะทำอะไร”
“ในเมื่อข้าตัดสินใจจะสานต่อไป สิ่งแรกคือต้องทำให้ในราชสำนักมีที่ที่จงรักภักดีต่อข้าอย่างเด็ดขาด และบริวารที่ภักดีต่อข้า” ชิวเยี่ยไป๋ทำหน้าว่างเปล่าไร้สภาพได้อย่างประหลาด
“ท่านหมายถึง…กองคั่นเฟิง” พูดแล้วเป๋าเป่าก็นั่งลงบนเก้าอี้โป๊ยเซียนตรงข้ามนาง
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มบางๆ แววตาวาววับ “ไม่ เป็นซือหลี่เจียน ข้าจะเอาซือหลี่เจียนไว้ทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าข้าจะเป็นตูกงของซือหลี่เจียนเอง!”
ครานั้นเก้าพันปีหลวงกุมอำนาจราชสำนักทัดเทียมกับขุนนางทั้งหลาย ก้าวแรกของการคุมอำนาจก็คือเป็นตูกงของซือหลี่เจียน!
“แม้ในรัชสมัยมหาจักรพรรดิเจินอู่ ซือหลี่เจียนยังคงไม่ถูกยุบเพียงถูกลดอำนาจลง อำนาจส่วนใหญ่ถูกดึงกลับไปอยู่ในมือขององค์จักรพรรดิ แต่เนิ่นนานขนาดนี้ซือหลี่เจียนก็ยังดำรงอยู่ได้ ผ่านรัชสมัยไป๋หลี่หลายสิบรัชกาลจนตกสู่มือของตระกูลตู้ ยังคงมิได้สิ้นสลาย ก็เพราะมันมีคุณสมบัติที่มิอาจทดแทนกันได้”
แม้ซือหลี่เจียนจะดำรงอยู่ในเงามืด ทำหน้าที่ตรวจสอบสืบความลับและสอบสวนอย่างลับๆ ดูเหมือนจะเป็นมุมมืดที่ไม่อาจเปิดเผยได้ของราชสำนัก แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง
ดังนั้น นางจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงว่าทำไมผู้ควบคุมหน่วยจารชนไว้ในมือ และเป็นที่ไว้วางใจของผู้ทรงอำนาจ สุดท้ายจึงขี่คอเจ้านายตนเองได้
นางไม่มีความทะเยอทะยานเช่นเก้าพันปีหลวง แต่ก็เป็นแนวทางที่จะทำให้นางได้ผลลัพธ์ตามที่นางต้องการ
สีหน้าเย็นเยือกเกรี้ยวกราดของชิวเยี่ยไป๋ ทำเอาเป๋าเป่าหนาวเล็กน้อยแววตาสับสนวูบหนึ่ง…ราชสำนักนะหรือ…เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชิงชังที่สุด ทว่า…
“ในเมื่อเป็นสิ่งที่คุณชายสี่อยากทำ เป๋าเป่าย่อมติดตามข้างกายตลอดไป จนกว่าคุณชายสี่ท่านได้ในสิ่งที่อยากได้” เขากล่าวเบาๆ กุมมือชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเป๋าเป่า ความเกรี้ยวกราดของสีหน้าทอนลงและบีบมือเป๋าเป่าเช่นกัน “เส้นทางอันตรายและเสี่ยงมาก ข้าจะผิดต่อท่านอาจารย์มิได้ ดังนั้นสำนักหอซ่อนกระบี่จึงต้องเร้นตัวชั่วคราว ข้าจะบ่มเพาะผู้สืบทอดที่เหมาะสม เป๋าเป่าเจ้าเป็นคนใจกล้าทั้งยังละเอียดรอบคอบและรู้จักวางแผน…”
“คุณชายสี่” เป๋าเป่าขัดคำกล่าวเสียงเย็นชาว่า “วันที่ข้าฟื้นมาในหอซ่อนกระบี่เคยบอกไว้แล้ว ชีวิตนี้จะซื่อสัตย์ภักดีต่อคนคนเดียว ก็คือท่าน มิใช่สำนักหอซ่อนกระบี่”
ชิวเยี่ยไป๋อึ้งไปแล้วถอนใจเบาๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่นี้ไปเจ้ายังคงเรียกข้าว่าพี่หญิงไป๋เถิด”
เป๋าเป่าแลดูนาง มุมปากพลันโค้งเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “คุณชายสี่ก็คือคุณชายสี่ เป๋าเป่ามีแต่คุณชายสี่ไม่มีพี่หญิงไป๋แล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋มองเป๋าเป่าที่ดูเหมือนจะหลบเข้าในหน้ากากไปแล้วก็อดสะท้านใจมิได้ แต่ก็ไม่อยากฝืนจึงพยักหน้า “ก็ได้ แล้วแต่เจ้าเถอะ”
เป๋าเป่ามองหน้านางพลันยิ้มจนเห็นฟัน “ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวเราไปด้วยกัน ตอนท่านไม่อยู่ พวกลิงหลอกเจ้าในกองคั่นเฟิงถูกข้าอบรมจนดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าและแสดงความสนใจ “ได้ ข้าก็ว่าพวกเขาไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง”
ฝีมือการอบรมคนของเป๋าเป่าไม่ธรรมดา นางเคยเห็นมาแล้ว
จากนั้นนางมองหน้าเขาอย่างลังเล “ใบหน้าเจ้า”
เป๋าเป่าลูบหน้า คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มชำเลืองดูนาง “นั่นนะสิ ในเมื่อคุณชายสี่ไม่ชอบใบหน้านี้ อย่างนั้น
เป๋าเป่าจะเปลี่ยนเสียเลย จะได้ไม่ขัดตาท่าน!”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นส่ายอาดๆ ไปทางคันฉ่อง ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างจนใจ ไอ้หมอนี่…
…
“หอน้อยฟังเสียงฝนทั้งคืน ตรอกลึกพรุ่งนี้ขายดอกซิ่งฮวา”
บนหอไม้ไผ่ ไป๋หลี่ชูไพล่มือมองดูดอกซิ่งฮวาที่วางบนขอบหน้าต่าง ริมฝีปากแฝงรอยยิ้มลึกซึ้ง
เสี่ยวไป๋…
เจ้าจะไปสู่ลิขิตของเจ้าทีละก้าว
“ลิขิต?” ซวงไป๋ไม่เข้าใจ เขานำกาน้ำชาผลึกแก้วที่มาจากแคว้นต้าสือ[1] วางลงบนเตาถ่านที่จัดทำอย่างประณีตด้วยใยเงิน แล้วเทน้ำจากธารภูเขาลงในกา ใส่น้ำตาลกรวดสองช้อน
——
[1] ดินแดนอาหรับสมัยโบราณ